นางจำเรียง มณีพินิจ ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมการพัฒนาชุมชน สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า จากข้อมูลล่าสุดจังหวัดนครราชสีมา มีผู้ผลิตผู้ประกอบการโอทอป (OTOP) รวม 2,789 ราย เป็นผลิตภัณฑ์ 5,980 ผลิตภัณฑ์ แบ่งเป็นผู้ประกอบการรายเดียวจำนวน 1,244 ราย เป็นผู้ผลิตชุมชน 1,481 ราย และเป็นผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 64 ราย
ส่วนผลิตภัณฑ์แบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์กลุ่ม A ซึ่งเป็นดาวเด่น มีความเข้มแข็งทั้งด้านของผลิตภัณฑ์และตลาด มีจำนวน 284 ผลิตภัณฑ์ ส่วนใหญ่เป็นสินค้ากลุ่มผ้าไหม ผ้าฝ้ายพื้นเมือง ผลิตภัณฑ์กลุ่ม B เป็นผลิตภัณฑ์ประเภทหัตถกรรม งานฝีมือ ใช้เวลาในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และมีมูลค่าค่อนข้างสูง กลุ่มนี้มีจำนวน 163 ผลิตภัณฑ์
กลุ่ม C เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้และมีตลาดเบื้องต้น และเป็น กลุ่มที่มีความเป็นไปได้ กลุ่มนี้มี 572 ผลิตภัณฑ์ และกลุ่ม D คือกลุ่มโอทอปที่เกิดขึ้นใหม่ ยังไม่แข็งแรง ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง ซึ่งกลุ่มนี้จะต้องเข้าไปช่วยให้เดินหน้าต่อไปได้ มีจำนวน 4,961 ผลิตภัณฑ์ ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าประเภทกลุ่มอาหาร และของใช้ต่าง ๆ
นางจำเรียงกล่าวอีกว่า การทำผลิตภัณฑ์โอทอปที่ยังไม่ประสบความสำเร็จคือ การขาดการเอาใจใส่ที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์และความต่อเนื่อง มักจะเป็น โอทอปยามว่าง คือว่างเมื่อไหร่ค่อยทำผลิตภัณฑ์ออกมา ตลาดก็ไม่ต่อเนื่อง จึงเป็นปัญหาให้โอทอปไม่ประสบความสำเร็จ ไปต่อไม่ได้
สำหรับรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์โอทอปของจังหวัดนครราชสีมา หลังประสบการระบาดของโควิด-19 อยู่ 2 ปี กระทบการจำหน่ายแบบเดิม ขณะที่ผู้ประกอบการก็พยายามปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ มีการโพสต์ขายสินค้าทางออนไลน์ ใช้ Facebook Line ทำการไลฟ์สด ขายผลิตภัณฑ์ของตัวเอง เช่น ทอดมันปลา จากเดิมขายเป็นแพ็ก ในช่วงโควิดผู้ประกอบการก็นำไปปรุงสุกและโพสต์ขาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูก ค้า คือซื้อไปก็สามารถรับประทานได้เลย หรือปรับบรรจุภัณฑ์นำใบตองห่อส่งให้ลูกค้า ทำให้น่ารับประทาน ก็ได้รับความนิยมจากลูกค้าสร้างรายได้อย่างดี
ส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้าโอทอปในปี 2565 (ถึง ต.ค. 2565) มียอดจำหน่ายแล้วกว่า 8,760 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการขายผ้าไหมและผลิตภัณฑ์ผ้า คาดว่าถึงสิ้นปีนี้จะมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าโอทอปเฉียด 10,000 ล้านบาท และปีหน้า(2566) ตั้งเป้ายอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 7 % นางจำเรียงกล่าว
โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (One Tambon One Product -OTOP) ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 จนถึงปัจจุบันครบ 20 ปี เป็นโครงการที่มุ่งหวังให้คนในชุมชน นำภูมิปัญญาที่มีอยู่มาพัฒนาสร้าง สรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ จำหน่ายสร้างรายได้ให้กับตนเอง ครอบ ครัวและชุมชน เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง โดยหน่วยงานภาครัฐให้การสนับสนุนช่วยเหลือด้านความรู้ เทคโนโลยี ทุน การบริหารจัดการ เชื่อมโยงสินค้าจากชุมชนไปสู่ตลาด ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ปัจจุบันผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์โอทอป มีช่องทางทางออนไลน์เพิ่มเติม สามารถใช้ผ่านช่องทางตลาดออนไลน์(Online Market place) ได้ทั้งของภาครัฐที่เปิดรองรับหลายแห่ง อาทิ เว็บไซต์ thaitrade.com ของกระทรวงพาณิชย์ เว็บไซต์ Otoptoday.com ของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย หรือผู้ประกอบการเปิดเว็บไซต์ของตนเอง อีกช่องทางออนไลน์ที่มาแรงคือ การซื้อขายผ่านสื่อสังคมหรือโซเชียล มีเดียต่างๆ ได้โดยตรง โดยมีบริการด้านการโอนเงินอิเล็ก ทรอนิกส์ และระบบขนส่งพัสดุและบริการโลจิสติกส์ต่างๆ พร้อมรองรับ ช่วยเพิ่มช่องทางตลาดแก่ผลิตภัณฑ์โอทอปให้ไปได้อย่างไร้ข้อจำกัด
อีกแนวทางคือพัฒนาชุมชนให้เป็นจุดหมายการเดินทาง อาทิ โครงการ “OTOP นวัตวิถี” ดึงนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในพื้นที่ เป็นการสร้างรายได้ตามความต้องการ (Demand Driven Local Economy) โดยการขายสินค้าอยู่ในชุมชน ใช้เสน่ห์ ภูมิปัญญา วิถีชีวิต วัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์ แปลงเป็นรายได้ เกิดการซื้อขายภายในพื้นที่ โดยไม่ต้องออกไปแข่งขันในตลาดข้างนอก
ฉัตรสุรางค์ กองภา/รายงาน
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,825 วันที่ 9-12 ตุลาคม พ.ศ.2565