'เอกชัย สุขุมวิทยา' กับภารกิจปั้น Jas Urban

18 ก.ค. 2559 | 03:00 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

เป็นหนุ่มนักบริหารรุ่นใหม่ไฟแรง ที่พร้อมเดินหน้าธุรกิจอย่างเต็มตัว สำหรับ "เอกชัย สุขุมวิทยา" ทายาท "อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา" เจ้าพ่อเจ มาร์ท ที่วันนี้ก้าวขึ้นมานั่งเก้าอี้ กรรมการบริหาร และผู้อำนวยการสายงานฝ่ายบัญชีและการเงิน (CFO) บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) เดินหน้าบริหาร "คอมมิวนิตี้ มอลล์" เต็มตัว พร้อมประกาศจุดหมายปลายทางกับการก้าวขึ้นเป็นดีเวลลอปเปอร์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย

ทิศทางของบริษัทเป็นอย่างไร

"เอกชัย" บอกว่า ไดเรคชั่นของบริษัท คือการพัฒนาศูนย์การค้าขนาดย่อม หรือคอมมิวนิตี้ มอลล์เป็นหลัก โดยมีเป้าหมายที่จะเปิดใหม่ปีละ 1 ศูนย์ ขณะเดียวกันสามารถรับบริหารศูนย์การค้า และลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ซึ่งมีพื้นที่ตั้งแต่ 80-100 ไร่ ได้ภายใน 5 ปีนับจากนี้ หรือภายในปี 2564 โดยเป็นการทะยอยลงทุนพัฒนาโครงการที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จาก 2 โครงการแรกที่เป็นคอมมิวนิตี้ มอลล์ ภายใต้ชื่อ "เดอะ แจส" (The Jass) สาขาวังหิน มีพื้นที่ 5,000 ตรม. และรามอินทรา มีพื้นที่ 1 หมื่นตรม. และล่าสุดอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการแจส เออเบิร์น ศรีนครินทร์ มีพื้นที่ 1.7 หมื่นตรม.

"เดอะ แจส และแจส เออเบิร์น มีความแตกต่างกันคือ เดอะ แจส จะเน้นเปิดในทำเลถนนรอง ส่วนแจส เออเบิร์นจะเปิดในทำเลถนนหลัก โดยบริษัทยังมุ่งขยายสาขาทั้ง 2 รูปแบบ ขึ้นอยู่กับทำเลและโอกาส ขณะเดียวกันก็พร้อมรับบริหารหรือซื้อกิจการคอมมิวนิตี้ มอลล์ที่มีศักยภาพแต่มีบริหารด้านการบริหารจัดการ ซึ่งล่าสุดมีผู้สนใจติดต่อเข้ามาและอยู่ระหว่างการเจรจา 2-3 ราย"

ทำไมจึงมีแบรนด์ "แจส เออเบิร์น"

แจส เออเบิร์น เกิดขึ้นเพราะต้องการสร้างแบรนด์ที่แตกต่าง และเชื่อว่าการมีแบรนดิ้ง จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่ดี ทั้งนี้เชื่อว่าเดอะ แจส เป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพ แต่สามารถพัฒนาขึ้นได้ ขณะที่การเลือกทำเลในย่านศรีนครินทร์ เพราะเป็นย่านที่มีกำลังซื้อสูง มีบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียมกว่า 100 โครงการ บ้านเดี่ยวกว่า 8 หมื่นหลังคาเรือน โรงเรียนนานาชาติและเอกชนกว่า 20 แห่ง เป็นแหล่งชุมชนที่หนาแน่นและมีศักยภาพในการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และจากการทำโฟกัสกรุ๊ป พบว่า มีความต้องการคอมมิวนิตี้ มอลล์ เพื่อความสะดวก และตอบรับไลฟ์สไตล์ได้

โดยปัจจุบันเดอะ แจส เออเบิร์น มียอดจองจากร้านค้าชั้นนำแล้วกว่า 70% อาทิ ท็อปส์ ซูเปอร์ , เอ็มเค เรสเตอรองท์ , ยาโยอิ , โรงภาพยนตร์เอสเอฟ , สตาร์บัคส์ ไดร์ฟธรู , ฟิตเนส 24 ชั่วโมง และร้านค้าย่อยมีกว่า 100 ร้าน เป็นต้น มีจุดเด่นที่เป็นการผสมผสานศูนย์ในรูปแบบโอเพ่น มอลล์ (Open Mall) และโคลส มอลล์ (Close Mall) ในสัดส่วน 70: 30 บนพื้นที่รวม 11 ไร่ ซึ่งก่อสร้างไปแล้วกว่า 70% และจะเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ ก่อนที่จะเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคมต่อไป รวมใช้เงินลงทุนกว่า 600 ล้านบาท คาดว่าจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ 3,000-4,000 คนต่อวัน และคุ้มทุนภายใน 8-9 ปี

ภาพรวมกำลังซื้อครึ่งหลังเป็นอย่างไร

"เอกชัย" บอกว่า จากการศึกษาตลาดมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เชื่อว่าคอมมิวนิตี้ มอลล์ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ขึ้นอยู่กับทำเลและการบริหารจัดการ รวมทั้งต้องมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ซึ่งขณะนี้บริษัทยังสนใจที่จะขยายการลงทุนไปในย่านราชพฤกษ์ รวมถึงใจกลางเมือง แต่ทั้งนี้ต้องวิเคราะห์และศึกษาทำเล และพฤติกรรมผู้บริโภคให้ดี โดยเฉพาะหากเป็นคอมมิวนิตี้ มอลล์ขนาดใหญ่

ขณะที่ภาพรวมของบริษัทในปีนี้ คาดว่าจะมียอดขายเติบโต 30% โดยรายได้มาจากไอที จังก์ชั่น 70-75% คอมมิวนิตี้ มอลล์ 15-20% ส่วนที่เหลือเป็นเจ มาร์เก็ต (ตลาดนัด) ซึ่งในอนาคตบริษัทจะเน้นการขยายธุรกิจของไอที จังก์ชั่น และคอมมิวนิตี้ มอลล์ เป็นหลัก โดยในปีนี้จะขยายไอที จังก์ชั่นเพิ่มขึ้นอีก 8 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 48 แห่ง โดยเน้นการลงทุนในบิ๊กซี และเครือทีซีซี เป็นหลัก

"เชื่อว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มดีขึ้น เห็นได้จากบรรยากาศการจับจ่าย แต่ยังไม่กลับมาดีเหมือนเมื่อ 2 ปีก่อน อย่างไรก็ดีการเปิดตัวในช่วงนี้ จึงต้องมุ่งสร้างแบรนด์ เพื่อดึงลูกค้าให้เข้ามา ทั้งการจัดกิจกรรมการตลาด โปรโมชั่นผ่านสื่อต่างๆ การออกบูธ รวมถึงการเวิร์ค ช้อป ด้วย"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,175 วันที่ 17 - 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559