หากจะกล่าวถึงตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแล้ว นับว่ามีมูลค่ากว่า 5.5 หมื่นล้านบาท ที่ปัจจุบันมีขายอยู่ในทุกช่องทาง ตลาดใหญ่สุดคงหนีไม่พ้นสินค้าเกี่ยวกับความสวยความงาม และหนึ่งในนั้นคือกลุ่มสินค้าควบคุมน้ำหนักที่มีมูลค่ากว่า 1.1 หมื่นล้านบาท เพราะเรื่องรูปร่างที่ดี เป็นความสวยงามที่ทุกคนอยากจะมี ตลาดสินค้าเสริมอาหารที่เกี่ยวกับการควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำหนัก หรือช่วยทำให้หุ่นฟิตและเฟิร์มจึงเติบโตมาก และมีแบรนด์เกิดขึ้นมากมายออกมาขายในทุกช่องทาง ซึ่งช่องทางที่มีประสิทธิภาพและมีขนาดตลาดใหญ่ไม่แพ้ช่องทางอื่นๆ หนีไม่พ้นช่องทางขายตรงที่มุ่งถึงผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบไดเร็กเซลล์ ออนไลน์ หรือขายตรงหลายชั้น
[caption id="attachment_65177" align="aligncenter" width="500"]
จุดเปลี่ยน[/caption]
เมื่อโฟกัสการทำตลาดของกลุ่มธุรกิจขายตรง จะพบว่าสินค้ากลุ่มเสริมอาหารเป็นสินค้าพระเอกสำคัญที่ขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตและดึงกลุ่มคนให้เข้ามาร่วมธุรกิจ ปัจจุบันจะเห็นความเคลื่อนไหวในวงการขายตรงหลายบริษัท ได้หันเข้ามาจับตลาดสินค้าควบคุมน้ำหนักหรือลดน้ำหนัก เพราะด้วยขนาดตลาดที่ใหญ่และเป็นเทรนด์สำคัญที่คนได้ให้ความสนใจ ซึ่งสินค้าเหล่านี้เห็นผลได้ชัดเจนและรวดเร็ว หากเปรียบเทียบกับสินค้าเสริมอาหารอื่นๆ แถมยังเป็นสินค้าที่สามารถจัดกิจกรรมการตลาดเสริมกระตุ้นได้หลากหลายด้วย ช่วงที่ผ่านมาจึงเห็นกิจกรรมการตลาดของบรรดาบริษัทขายตรงออกมาเรียกสีสันหลายค่าย
แอมเวย์ออกแคมเปญ”จุดเปลี่ยน”
บริษัท แอมเวย์ ประเทศไทย จำกัด ขายตรงที่มียอดขายอันดับ 1 ของไทยในปัจจุบัน ได้เริ่มเปิดตลาดสินค้ากลุ่มควบคุมน้ำหนักตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา กับผลิตภัณฑ์ในรูปแบบโปรแกรมควบคุมน้ำหนัก “บอดี้คีย์ บาย นิวทริไลท์” พร้อมกับจัดการแข่งขันลดน้ำหนักบอดี้คีย์ขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก มีผู้ที่สนใจเข้าร่วมแข่งขันถึง 8,280 คน และสร้างปรากฏการณ์กับสถิติลดน้ำหนักรวมถึง 33 ตัน สำหรับระยะเวลาแข่งขันลดน้ำหนักภายใน 60 วัน แอมเวย์จึงติดใจกับยอดขายที่เพิ่มมากขึ้นจากแคมเปญดังกล่าว
ปีนี้จึงเดินหน้าทำกิจกรรมการตลาดกับสินค้าดังกล่าว ด้วยการเปิดตัวแคมเปญ “จุดเปลี่ยน” เพื่อกระตุ้นยอดขายกลุ่มสินค้าควบคุมนํ้าหนัก ด้วยการใช้งบประมาณถึง 50 ล้านบาท และมีผู้ใช้จริงอย่าง “โก๊ะตี๋” เข้ามาร่วมแคมเปญและเป็นส่วนหนึ่งในการสื่อสารการตลาดครั้งนี้ โดยแอมเวย์คาดหวังว่ายอดขายของกลุ่มนี้จะสูงถึง 1,000 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นอีก 30% จากปีที่ผ่านมา และยังส่งผลทำให้ยอดขายรวมของผลติ ภัณฑ์เสริมอาหารนิวทริไลท์จะทะลุถึง 8,000 ล้านบาทในสิ้นปีนี้ด้วย
กิฟฟารีนชูดีฟมารีนเวย์
ด้าน บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจขายตรงแบรนด์กิฟฟารีน ได้เข้ามาลุยสินค้ากลุ่มควบคุมน้ำหนักหลายปี พร้อมกับทำกิจกรรมภายในองค์กร กับแคมเปญ Bye Bye Calorie ที่ทำต่อเนื่องกันมาถึง 4 ปี ซึ่งผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัลจากการแข่งขัน รวมถึงต้องการกระตุ้นให้นักธุรกิจเปลี่ยนแปลงรูปร่าง และมีความรู้ในผลิตภัณฑ์ เพื่อที่จะสามารถขยายงานได้มากขึ้น แต่ภายหลังจากที่“สุพรีเดอร์ม” ได้เข้ามาร่วมธุรกิจกับ กิฟฟารีน และได้นำสินค้ากลุ่ม “ดีฟ มารีนเวย์” เข้ามาจัดจำหน่าย กิฟฟารีน จึงปรับเปลี่ยนแนวทางการทำตลาดจากเดิมที่แข่งขันเพื่อการลดน้ำหนักแต่เพียงอย่างเดียว หันมามุ่งให้ความรู้ในผลิตภัณฑ์เพื่อให้นักธุรกิจมีความเข้าใจ ด้วยการจัดอบรมและสร้างให้นักธุรกิจกิฟฟารีนเป็นเหมือน “โค้ช” ด้านสินค้าลดน้ำหนัก กับแคมเปญ Advance Deep Marine Whey Coach ครั้งที่ 4 เพื่อที่จะได้นำความรู้ที่ได้รับไปดำเนินธุรกิจหรือขายสินค้าได้อย่างถูกต้อง ขณะเดียวกันยังผลิตสินค้าต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นตัวช่วยในการควบคุมน้ำหนัก ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่ผลิตสินค้าอาหารที่ใช้บริโภคแทนอาหารปกติทั่วไปเข้ามาจำหน่ายอีกมากมายด้วย
นูสกินส่งเอจล็อคฯบุกตลาด
ส่วนทางบริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรง “นูสกิน” ก็ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่เข้ามามีส่วนแบ่งทางการตลาดกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มลดน้ำหนัก โดยได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการดูแลรูปร่าง “เอจล็อค ทีอาร์ไนนท์ตี้” (ageLOC TR90) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้เทคโนโลยีเอจล็อค เพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ตลาดคนรักสุขภาพที่ต้องการดูแลรูปร่างอย่างถูกวิธีควบคู่ไปกับการคงความอ่อนเยาว์ให้กับร่างกาย โดยมุ่งหวังว่าจะช่วยผลักดันยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
เนื่องจากผลิตภัณฑ์ “เอจล็อค ทีอาร์ไนนท์ตี้” (ageLOC TR90) มีความโดดเด่นแตกต่างจากคู่แข่ง และตรงเข้าจัดการกับปัญหาเรื่องรูปร่างของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุดปัจจุบันผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเอจล็อคทั้งผลิตภัณฑ์สกินแคร์ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรวมทั้ง เอจล็อคทีอาร์ไนนท์ตี้ มีสัดส่วนรายได้ของกลุ่มผลิตภัณฑ์เอจล็อคประมาณ70% จากยอดขายของนูสกินโดยรวม และกลุ่มผลิตภัณฑ์ ทีอาร์ 90 มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 10% ของยอดนูสกินโดยรวม กิจกรรมทางการตลาดของนูสกิน ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นทั้งกิจกรรมส่งเสริมการตลาดให้กับผู้แทนจำหน่ายเป็นประจำอย่างต่อเนื่องทุกเดือน พร้อมทั้งเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ควบคู่กันไปด้วย
จากสถิติคนไทยเป็นโรคอ้วนประมาณ 16 ล้านคน แบ่งเป็นชาย ประมาณ 4.7 ล้านคน และหญิง 11.3 ล้านคน ถือได้ว่า แนวโน้มของภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนในประเทศไทยช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อไป
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,168 วันที่ 23 - 25 มิถุนายน พ.ศ. 2559