นักธุรกิจจับตาคดี 'แพทองธาร' รอด-ไม่รอด เชื่อผลกระทบ ศก. ยังไร้นโยบายชัดเจน

29 ส.ค. 2568 | 04:37 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ส.ค. 2568 | 05:00 น.

อาจารย์สุภัค หมื่นนิกร ทายาทรุ่นที่ 2 แบรนด์ Siam Steak เผย ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคดี 'แพทองธาร' รอดไม่รอด เชื่อผลกระทบเศรษฐกิจยังไร้นโยบายชัดเจน"

วันนี้ (29 สิงหาคม 2568) ศาลรัฐธรรมนูญได้เริ่มการประชุมเพื่อพิจารณาคำร้องคดีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม

ซึ่งได้รับความสนใจจากสาธารณชนอย่างมาก หลังจากเกิดประเด็นคลิปเสียงที่มีการอ้างว่าเป็นการพูดคุยระหว่างเธอกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลกัมพูชา เรื่องการเมืองไทยและการติดต่อกับนายกรัฐมนตรีฮุนเซนจากกัมพูชา

อาจารย์สุภัค หมื่นนิกร ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง Food Franchise Institute (FFI) รวมถึง CEO ของ Siam Steak Group, ซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่ 2 ของธุรกิจเจ้าของแบรนด์ Siam Steak ไส้กรอกเยอรมันโฮมเมด เปิดเผยกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจใดๆ ของรัฐบาลก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบมากไปกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าผลการตัดสินใจยังไง ความไม่แน่ใจและการขาดนโยบายที่ชัดเจนในการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศอยู่ดี 

โดยมองว่าเศรษฐกิจในระยะสั้น ในช่วง 6 เดือนนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจไทยยังคงย่ำอยู่กับที่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนและยังคงไม่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายใหม่ๆ ที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันที

ในระยะกลาง สถานการณ์จะเริ่มเปลี่ยนแปลง เนื่องจากประชาชนในประเทศไทยเริ่มเผชิญกับปัญหาความยากจนและความอดอยากมากขึ้น "ประชาชนคนไทยคงไม่น่ายอม" คาดการณ์ว่าความกดดันจากประชาชนจะทำให้รัฐบาลต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน เพื่อให้ตอบสนองต่อปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้น และอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงในแง่ของการบริหารงานภายในรัฐบาล หรืออาจจะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เพื่อให้มีการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

อาจารย์สุภัค หมื่นนิกร

ในระยะยาว เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะมีทางออก ซึ่งจะเกิดจากการปกครองที่ดีและมีวิสัยทัศน์ "ประเทศไทยก็ต้องมีคนดีดีมาปกครองประเทศอยู่ดี" คาดหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถฟื้นตัวได้หลังจากปัญหาต่างๆ คลี่คลาย แต่ก็ยอมรับว่าการหาแนวทางที่ชัดเจนในระยะนี้ยังเป็นเรื่องยาก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกก็มีปัญหาและท้าทายต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะจากยุคการปกครองของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา

สำหรับธุรกิจร้านอาหารในตอนนี้ตลาดยังไม่ได้แย่ลงไปมากกว่านี้ เพราะตลาดตอนนี้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว แม้จะมีการประหยัดค่าใช้จ่ายจากผู้บริโภคที่ลดลง เช่น การลดค่าใช้จ่ายในการทานอาหารนอกบ้านจาก 500 บาทเหลือ 300 บาท หรือแม้กระทั่งการปรุงอาหารกินเองที่บ้าน

แต่ธุรกิจร้านอาหารก็ยังคงต้องมีการปรับตัวในเชิงกลยุทธ์การตลาด “กลยุทธ์การตลาดต้อง active กับตลาดมากๆ ถึงจะมีอัตราการเติบโตที่ดีเหมือนปีที่แล้ว”

ในอนาคตธุรกิจอาหารในประเทศไทยจะยังคงเติบโตได้ในระดับที่ค่อนข้างน้อยในปีนี้ แต่ต้องปรับตัวให้มากขึ้นเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ แม้ว่าเศรษฐกิจในระยะสั้นจะไม่ดีนัก แต่ก็เชื่อว่าในระยะยาว ประชาชนจะยังไม่ยอมอดทนกับสถานการณ์นี้ จึงคาดว่าอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงในภาครัฐที่ดีขึ้นเพื่อตอบสนองปัญหาดังกล่าว