นักธุรกิจ จับตาผลคดีคลิปเสียงฮุน เซน ออกหน้าไหนก็กระทบเศรษฐกิจ

26 ส.ค. 2568 | 06:51 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ส.ค. 2568 | 15:24 น.

ทายาทรุ่นที่ 2 บริษัท ศรีฟ้าเบเกอรี่ เผยการเมืองไทยไม่มีเสถียรภาพ หลังใกล้ชี้ชะตาถอดถอนนายกฯ ปมคลิปเสียงฮุน เซน ชี้ไม่ว่าผลออกมาอย่างไรก็กระทบต่อการลงทุนและความเชื่อมั่นของต่างชาติ แม้ธุรกิจ SME ปรับตัวได้

สถานการณ์การเมืองไทยในช่วงนี้ ยังคงอยู่ในความสนใจของประชาชนและนักลงทุน หลังนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม ได้ยื่นคำแถลงปิดคดีคลิปเสียงการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีกำหนดอ่านคำวินัจฉัยในวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคมนี้

ความเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งนี้ไม่ได้สร้างความตื่นตัวเพียงด้านกฎหมายเท่านั้น แต่ยังสะท้อนผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ความเชื่อมั่นของนักลงทุน และการวางแผนธุรกิจของผู้ประกอบการไทยทั้งรายใหญ่และรายเล็ก

ในมุมของธุรกิจ ผู้ประกอบการหลายรายต้องจับตาดูว่าการลาออก การรอดคดี หรือการถูกพักการเล่นการเมืองของนายกรัฐมนตรี จะสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างไรต่อสภาพเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศไทย

นายพีรวัส เจนตระกูลโรจน์ ทายาทรุ่นที่ 2 บริษัท ศรีฟ้าโฟรเซนฟู้ด จำกัด หรือแบรนด์ 'ศรีฟ้า' เบเกอรี่กาญจน์ หนึ่งในภาคธุรกิจเอกชน ที่สะท้อนมุมมองต่อสถานการณ์การเมืองของไทย เปิดเผยกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่า หากนายกรัฐมนตรีชิงลาออกก่อนที่ศาลจะตัดสิน แม้เหตุการณ์ทางการเมืองจะมีความสำคัญ แต่สำหรับธุรกิจของเราโดยตรงนั้นแทบไม่ส่งผลกระทบใด ๆ เนื่องจากเป็นธุรกิจขนาดกลาง-ขนาดเล็ก ที่เน้นทำตลาดกับผู้บริโภคโดยตรง ราคาสินค้าเข้าถึงง่ายและไม่ต้องพึ่งนโยบายรัฐหรือใช้อำนาจทางราชการในการดำเนินธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม ในมุมของเศรษฐกิจโดยรวม การลาออกของนายกรัฐมนตรีก่อนศาลตัดสินอาจส่งผลต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของประเทศ ทำให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติลดลง เพราะนักลงทุนมักจับตาสถานการณ์ทางการเมืองเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน

นายพีรวัส เจนตระกูลโรจน์

ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีรอดคดี แม้จะไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจของเรา แต่การรอดคดีจะช่วยให้ความเชื่อมั่นและความต่อเนื่องของนโยบายรัฐยังไม่เกิดการสะดุด ส่งผลให้การวางแผนลงทุนของนักลงทุนต่างชาติสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นใจ

ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีถูกลงโทษและต้องพักการเล่นการเมือง ความเสถียรของการเมืองจะลดลงอย่างชัดเจน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนของต่างชาติ นักลงทุนอาจชะลอหรือย้ายการลงทุนไปประเทศที่มีความมั่นคงทางการเมืองมากกว่า ขณะเดียวกันภาคธุรกิจที่พึ่งพานโยบายรัฐหรือการสนับสนุนจากหน่วยงานราชการก็จะได้รับผลกระทบโดยตรงมากขึ้น

นายพีรวัสกล่าวต่อว่า การเมืองไม่เสถียรภาพเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในประเทศไทยมาเป็นเวลากว่า 20 ปี และส่งผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนโดยตรง แม้ผลกระทบนี้อาจไม่ชัดเจนกับธุรกิจที่ทำตลาดตรงกับผู้บริโภคโดยไม่ต้องพึ่งนโยบายรัฐ แต่ธุรกิจที่ต้องพึ่งพารัฐบาลหรือสนับสนุนการลงทุนจากต่างชาติ ย่อมได้รับผลกระทบมากกว่า

การเมืองที่ไม่มั่นคงยังทำให้การขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ไม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้โครงการสนับสนุนการลงทุนหรือสิทธิประโยชน์สำหรับนักลงทุนต่างชาติไม่สามารถดำเนินการต่อเนื่องได้ นักลงทุนจึงอาจมองหาประเทศอื่นที่มีเสถียรภาพมากกว่า

ในด้านการปรับตัวของผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ทางการเมืองใด ผู้ประกอบการขนาดกลาง-ขนาดเล็กยังต้องปรับตัวอยู่เสมอ เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ธุรกิจเล็กหรือใหญ่ควรไม่ยึดติดกับปัจจัยภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพร้อมพัฒนา ปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับความไม่แน่นอนทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง

ดังนั้น เหตุการณ์ทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นการลาออก การรอดคดี หรือการถูกพักเล่นการเมืองของนายกรัฐมนตรี จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวมและความเชื่อมั่นนักลงทุนอย่างชัดเจน แต่สำหรับธุรกิจที่ทำตลาดตรงกับผู้บริโภคโดยไม่ต้องพึ่งนโยบายรัฐ ผลกระทบอาจน้อยมาก

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติยังให้ความสำคัญกับความต่อเนื่องและเสถียรภาพของนโยบายรัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุน ขณะที่ผู้ประกอบการทุกระดับควรเตรียมพร้อมปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างยั่งยืน