หลังจากที่ทั่วโลกต้องเผชิญกับความเสี่ยงจาก มาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ (Trump Tariffs) เป็นเวลาหลายเดือน การเจรจาการค้าระหว่างประเทศต่างๆ กับสหรัฐฯ ได้ข้อสรุปว่า แต่ละประเทศจำเป็นต้องเปิดตลาดให้กับสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น ขณะเดียวกัน สินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ก็ต้องเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าที่แตกต่างกันไปตามประเทศ
สำหรับประเทศไทย อัตราภาษีที่ต้องจ่ายอยู่ที่ 19% (ไม่นับรวมอัตราภาษี MFN เดิม) ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค จึงช่วยลดความกังวลในระดับหนึ่งต่อความเสี่ยงในการย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศ
อย่างไรก็ดี ผลกระทบจากภาษีดังกล่าวยังคงมีนัยสำคัญ ทั้งต่อผู้ส่งออกที่ต้องแบกรับต้นทุนภาษีเพิ่มขึ้น 19% และต่อผู้ผลิตในประเทศที่ต้องเผชิญการแข่งขันจากสินค้านำเข้าสหรัฐฯ มากขึ้น
ดังนั้น โจทย์ใหญ่ของไทยนับจากนี้ คือ การกำหนดนโยบายเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สามารถรองรับและปรับตัวต่อแรงกระแทกจากภาษีของทรัมป์ได้อย่างยั่งยืน
นอกเหนือจากปัจจัยภายนอก ประเทศไทยยังเผชิญ ความเสี่ยงทางการเมืองภายใน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความเป็นไปได้ที่รัฐบาลภายใต้การนำของ คุณแพทองธาร ชินวัตร อาจไม่สามารถดำรงตำแหน่งได้ครบวาระ และสถานการณ์การเมืองอาจเปลี่ยนไปในหลายทิศทาง
จากการติดตามความเห็นของหลายฝ่าย พบว่ามีความเป็นไปได้อย่างน้อย 6 รูปแบบ แต่ละรูปแบบจะกระทบเศรษฐกิจแตกต่างกัน โดยมี 3 มิติผลกระทบหลัก ได้แก่
1. ความไม่แน่นอนของนโยบายและความต่อเนื่องของแผนงาน
2. การพัฒนาและเบิกจ่ายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
3. การออกมาตรการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทั้งในและนอกประเทศ เช่น ภาษีของทรัมป์ การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาเทคโนโลยี และการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน
เมื่อพิจารณาร่วมกับอนาคตการเมืองทั้ง 6 รูปแบบ พบว่า หากรัฐบาลยังคงอยู่ในรูปแบบปัจจุบัน แนวนโยบายเศรษฐกิจจะยังคงใกล้เคียงเดิม แต่จะขับเคลื่อนได้ยากขึ้นเพราะเสียงข้างมากในสภามีความเปราะบาง อีกทั้งผลงานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (รวมสมัยคุณเศรษฐา ทวีสิน) ยังสะท้อนว่าการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจทำได้อย่างจำกัด
ความเป็นไปได้ทั้ง 6 รูปแบบ ได้แก่
1. คุณชัยเกษม ขึ้นเป็นนายกฯ แทน – นโยบายหลักใกล้เคียงเดิม โจทย์ใหญ่ยังคงอยู่ที่การปรับโครงสร้างระยะยาวที่ยังไม่เห็นชัดนัก
2. คุณอนุทิน ขึ้นเป็นนายกฯ – อาจมีการเปลี่ยนนโยบายบางส่วน เช่น การผ่อนปรนเศรษฐกิจกัญชา แต่โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ยังเดินหน้าต่อ ส่วนนโยบายในระยะยาวก็ยังคงเป็นจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข
3. คุณประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกฯ – ทีมเศรษฐกิจอาจเปลี่ยนใหม่ แต่ผลงานในอดีตสร้างข้อกังขาเรื่องความสำเร็จของการปฏิรูปเศรษฐกิจระยะยาว
4. นายกฯ คนกลาง – อาจได้คนที่ชำนาญทางด้านเศรษฐกิจเข้ามามุ่งเน้นแก้ปัญหาเศรษฐกิจเร่งด่วนและออกนโยบายใหม่ทั้งระยะสั้นและยาว แต่ยังขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากสภา ทำให้ไม่แน่ชัดว่าจะขับเคลื่อนได้มากน้อยเพียงใด
5. ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ – อาจทำให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าช้า แต่เปิดโอกาสให้ประชาชนเลือกผู้แทนที่ตอบโจทย์สถานการณ์ปัจจุบัน
6. รัฐประหาร – มักเห็นนโยบายใหม่ระยะสั้น แต่ไม่สามารถปฏิรูปเศรษฐกิจระยะยาวได้อย่างแท้จริง และมีความเสี่ยงต่อมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่อาจขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติม
โดยสรุป ประเทศไทยจำเป็นต้องมีเสถียรภาพทางการเมืองและการบริหารนโยบายเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีตเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ทั้งระยะสั้นและระยะยาวได้อย่างแท้จริง
มิใช่ติดล่มทางการเมืองกลายเป็นตัวซ้ำเติมปัญหาที่มีหนักอยู่แล้วให้เลวร้ายลงไปอีก