สัตวแพทย์ไทย 'เสี่ยงเครียดสูง' พบ 64% ทำงานเกิน 50 ชม.ต่อสัปดาห์

25 ส.ค. 2568 | 09:31 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ส.ค. 2568 | 11:58 น.

เบอริงเกอร์ เผยผลสำรวจ สัตวแพทย์ไทย 64% ทำงานเกิน 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เสี่ยงเครียดสูงแรงกดดันสูงจากลูกค้า จำเป็นต้องมีมาตรการสนับสนุน

เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ เปิดเผยผลการศึกษาเชิงลึกเรื่อง "Going Beyond: ร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้วงการสัตวแพทย์ไทย" ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่สัตวแพทย์ในประเทศไทยกำลังเผชิญ การสำรวจจัดทำร่วมกับ TAGR บริษัทวิจัยระดับโลก เก็บข้อมูลจากผู้ตอบแบบสอบถาม 335 คน

ซึ่งเป็นสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่คลินิกจาก 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุดประสงค์เพื่อทำความเข้าใจคุณค่า ความกดดัน และความต้องการการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน

ผลการศึกษาเผยว่าวิชาชีพสัตวแพทย์ ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นเพียง "หมอหมา-หมอแมว" กำลังเผชิญกับความท้าทายซับซ้อน ได้แก่ ความเครียดจากงาน ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน และการขาดการยอมรับจากสาธารณชน

ปัจจัยที่กดดันสัตวแพทย์ไทย

1.ความเข้าใจจากสาธารณชน: มีสัตวแพทย์เพียง 16% ที่รู้สึกว่าตนเองได้รับการยอมรับอย่างเพียงพอ

2.สมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน: 58% ของสัตวแพทย์ไทยทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นอันดับสองในบรรดาประเทศที่สำรวจ

3.ความท้าทายด้านการเงิน: ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและราคาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงจำนวนลูกค้าที่ลดลง ทำให้เกิดแรงกดดันทางการเงินต่อเนื่อง

เภสัชกร อภิศักดิ์ คุณเวช Head of Animal Health

4.แรงกดดันทางอารมณ์: สัตวแพทย์ต้องเผชิญความเครียดทางอารมณ์ โดยเฉพาะเมื่อลูกค้าไม่เข้าใจค่าใช้จ่ายในการรักษา

  • 64% ต้องการให้ลูกค้าเข้าใจวิชาชีพมากขึ้น
  • 58% ต้องการการปฏิบัติที่ดีขึ้นจากลูกค้า
  • 42% ต้องการชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น

รองศาสตราจารย์ สพ.ญ.ดร.จารุวรรณ คำพา เลขธิการสัตวแพทยสภา กล่าวว่า อาชีพสัตวแพทย์กำลังเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนทั้งในแง่สภาพการทำงานที่หนัก ความเครียดสะสม และการขาดแคลนบุคลากร การเสวนาครั้งสำคัญได้รวบรวมมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญหลายด้านเพื่อวิเคราะห์ปัญหาและหาแนวทางพัฒนาคุณภาพชีวิตสัตวแพทย์อย่างยั่งยืน

ปัญหาชั่วโมงการทำงานหนักเป็นเรื่องที่รู้กันดี การประกาศรับสมัครงานที่ระบุเวลาทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่มสะท้อนภาระงานสูง สัตวแพทยสภาจึงกำหนดให้สัตวแพทย์ทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หากเกินกว่านั้นต้องตกลงร่วมกันระหว่างนายจ้างและสัตวแพทย์ แต่การบังคับใช้จริงยังท้าทาย เนื่องจากการขาดแคลนบุคลากร

ความเครียดหลัก 3 ปัจจัยที่สัตวแพทย์ต้องเผชิญ

  • ปริมาณและความซับซ้อนของเคส: โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยรับเคสส่งต่อที่ซับซ้อนสูง ทำให้สัตวแพทย์ทำงานภายใต้แรงกดดัน
  • นโยบายผู้บริหารที่ไม่สอดคล้อง: เช่น การมีบริการตอบคำถาม 24 ชั่วโมงผ่านไลน์ ส่งผลให้สัตวแพทย์ต้องอยู่เวรต่อเนื่อง
  • ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและนายจ้าง: การสื่อสารไม่ชัดเจนอาจเพิ่มความเครียด
  • ปัจจัยเสริม ได้แก่ ความเป็น Perfectionist และ การเปรียบเทียบตัวเองกับรุ่นพี่หรือเพื่อนร่วมงาน ทำให้สัตวแพทย์รุ่นใหม่บางคนรู้สึกไม่มั่นใจ

สัตวแพทย์ไทย 'เสี่ยงเครียดสูง' พบ 64% ทำงานเกิน 50 ชม.ต่อสัปดาห์

ความท้าทายเฉพาะของสัตวแพทย์ปศุสัตว์

สพ.ญ.ดร.เมตตา เมฆานนท์ นายกสมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทย กล่าวว่า สัตวแพทย์สายปศุสัตว์เผชิญความเครียดจากเศรษฐกิจและกฎหมายแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ต้องรับผิดชอบต่อคุณภาพและประสิทธิภาพผลผลิต เช่น เนื้อ นม ไข่ ซึ่งส่งผลต่อรายได้ฟาร์ม กฎหมายและข้อบังคับเข้มงวด ต้องปฏิบัติตาม GAP และ E-movement หากผิดพลาดแม้เล็กน้อยอาจถูกเพิกถอนใบอนุญาต

นอกจากนี้สภาพแวดล้อมการทำงาน ต้องปฏิบัติตามมาตรการปลอดภัยทางชีวภาพ เช่น การอาบน้ำและเปลี่ยนชุดหลายครั้งต่อวัน ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน

สวัสดิภาพและทักษะสำคัญ กุญแจความยั่งยืนของสัตวแพทย์

สพ.ญ.กฤติกา ชัยสุพัฒนากุล ประธานกรรมการบริหาร โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ กล่าวว่า การสร้างสมดุลและความยั่งยืนของสัตวแพทย์ไทยต้องอาศัยการสื่อสารและการพัฒนา โดยองค์กรและผู้ประกอบการควรสื่อสารอย่างโปร่งใสทั้งกับพนักงานและลูกค้า เพื่อลดความคาดหวังที่ไม่ตรงกัน

นอกจากนี้ยังควรมีความยืดหยุ่นในการจัดชั่วโมงการทำงาน จัดทำแผนพัฒนาบุคลากรเฉพาะบุคคล (IDP) เพื่อรับฟังความต้องการและเป้าหมายของสัตวแพทย์แต่ละคน พร้อมจัดระบบพี่เลี้ยง (Mentorship)

สำหรับสัตวแพทย์รุ่นใหม่และส่งเสริมให้สัตวแพทย์แสดงศักยภาพ เช่น การเป็นวิทยากรในการประชุมวิชาการ ขณะที่ทักษะจำเป็นของสัตวแพทย์ยุคใหม่ ได้แก่ Soft Skills การสื่อสารที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคน ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) และจรรยาบรรณวิชาชีพ ทักษะวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคัดกรองข้อมูลที่ถูกต้องจากอินเทอร์เน็ตสำหรับใช้ในการตัดสินใจ

และทักษะด้านธุรกิจสำหรับสัตวแพทย์ปศุสัตว์ ซึ่งรวมถึงความรู้ด้านการเงิน การตลาด และธุรกิจ เพื่อทำงานร่วมกับเจ้าของฟาร์มอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการพัฒนาวงการสัตวแพทย์ไทยอย่างยั่งยืนจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี ดูแลสวัสดิภาพบุคลากร และส่งเสริมทักษะที่จำเป็น เพื่อให้สัตวแพทย์มีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถดูแลสุขภาพสัตว์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

สัตวแพทย์ไทย 'เสี่ยงเครียดสูง' พบ 64% ทำงานเกิน 50 ชม.ต่อสัปดาห์

เภสัชกร อภิศักดิ์ คุณเวช Head of Animal Health บริษัท เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สัตวแพทย์มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่กำลังเผชิญความเครียดและการขาดความเข้าใจในวิชาชีพในวงกว้าง การเปิดตัวผลการศึกษาเชิงลึกในวันนี้มุ่งยกย่องความทุ่มเทของสัตวแพทย์ สร้างการรับรู้ต่อความท้าทายด้านต่าง ๆ  และส่งเสริมให้สัตวแพทย์ได้รับการสนับสนุนและมีความยั่งยืนทางวิชาชีพยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา สมาคม และภาคประชาชน เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ จึงขอเป็นหนึ่งในฟันเฟืองเพื่อสร้างอนาคตที่แข็งแกร่งให้กับวิชาชีพสัตวแพทย์ในประเทศไทย”

จากผลการศึกษาเชิงลึกฉบับนี้ ได้สรุปข้อเสนอแนะแนวทางเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตและการยอมรับวิชาชีพสัตวแพทย์ พร้อมสร้างเครือข่ายสนับสนุนที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น ดังนี้

1.การศึกษาและสร้างความตระหนักรู้ในสาธารณะ

จัดแคมเปญเฉพาะกลุ่มผ่านสื่อสาธารณะและกิจกรรมของสถาบันการศึกษา เพื่อเพิ่มความเข้าใจของสาธารณชนต่อบทบาทของสัตวแพทย์

2.การรักษาและพัฒนาบุคลากรสัตวแพทย์

สนับสนุนค่าตอบแทน ผลประโยชน์ และเส้นทางการพัฒนาวิชาชีพที่ชัดเจน เพื่อดึงดูดและสร้างแรงบันดาลใจให้บุคลากร

3.การสนับสนุนด้านสุขภาวะ

ให้สัตวแพทย์เข้าถึงบริการให้คำปรึกษา กลุ่มสนับสนุนเพื่อนร่วมอาชีพ และการฝึกอบรมสำหรับคลินิกสัตวแพทย์ด้านสุขภาพจิตและการจัดการความเครียด

4.ด้านนโยบายและการส่งเสริมกฎหมาย

ร่วมมือกับรัฐบาลและองค์กรสัตวแพทย์เพื่อผลักดันโครงการ เช่น ประกันสัตว์เลี้ยงและการขยายบริการดูแลป้องกัน

5.การยกย่องด้านวิชาชีพ

จัดตั้งรางวัลและโครงการยกย่องเพื่อเชิดชูผลงานของสัตวแพทย์ และสร้างการรับรู้ในวงกว้าง

6. การเสริมสร้างเครือข่ายวิชาชีพ

ส่งเสริมความร่วมมือใกล้ชิดระหว่างสมาคมสัตวแพทย์ รัฐบาล และบริษัทเอกชน เพื่อเพิ่มเสียงสะท้อนของวิชาชีพให้กว้างไกลยิ่งขึ้น