นายวรากร พรหโมบล อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (ชธ.) เปิดเผยถึงการจัดหาแหล่งพลังงานเพื่อความมั่นคง ลดต้นทุนประเทศพลังงานในประเทศ ว่า อยู่ระหว่างเตรียมการเพื่อเปิดให้เอกชนยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ครั้งที่ 26 สำหรับแปลงสำรวจในทะเลอันดามัน หรืออันดามันใต้
ทั้งนี้ คาดว่าจะเปิดให้ยื่นปลายปี 2568 และคาดจะได้ผู้ชนะประมูลปี 2569 เนื่องจากมีข้อมูลที่บ่งชี้ว่าอาจมีศักยภาพในการค้นพบแหล่งก๊าซขนาดระดับ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุุต ซึ่งจะช่วยให่ประเทศไทยมีความมั่นคงทางก๊าซธรรมชาติไปอีกประมาณเป็น 20 ปี ลดการนำเข้าแอลเอ็นจีที่ราคาผันผวนตามสถานการณ์โลก
โดยปัจจุบันได้รับความสนใจจากบริษัทน้ำมันระดับโลก (Seven Sisters) เช่น เชฟรอน, ENI, ปตท.สผ., โททาล และเอ็กซอน ซึ่งจะมีมูลค่าลงทุนระดับแสนล้านบาท
อย่างไรก็ดี ต้องเรียนว่าแหล่งดังกล่าวมีความยาก ดังนั้นจะต้องสร้างจูงใจนักลงทุนผ่านขั้นตอนกฎหมายของไทยที่ทันสมัย โดยปัจจุบันกรมฯ จึงกำลังพิจารณาปรับปรุงระบบสัมปทานให้เป็นแบบผสมผสาน (Hybrid) ซึ่งอาจใช้ระบบแบ่งปันผลผลิต (PSC - Production Sharing Contract) ร่วมด้วย เพื่อให้มีความยืดหยุ่นและคุ้มค่าต่อการลงทุนแหล่งอันดามัน โดยเบื้องต้นต้นทุนเจาะสำรวจในทะเลน้ำลึกสูงถึง 27 ล้านดอลลาร์ต่อหลุม
สำหรับประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับเมื่อค้นพบแหล่งก๊าซในทะเลอันดามันนั้น จะสร้างประโยชน์มหาศาลต่อประเทศ ทั้งในด้านรายได้ ความมั่นคงทางพลังงาน การจ้างงาน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น ท่าเรือและโรงงานแปรรูปก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) คาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจระดับแสนล้านบาท
นายวรากร กล่าวอีกว่า เดือนธันวาคมปี 68 กรมฯคาดว่าจะได้ผู้ชนะประมูลสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมบนบกครั้งที่ 25 จากผู้ยื่นประมูล 5 บริษัท รวม 8 คำขอ มี ปตท.สผ. ยื่นขอสิทธิมากที่สุดจำนวน 3 คำขอ แพน โอเรียนท์ เอ็นเนอยี่ (สยาม) ลิมิเต็ด และ บริษัท CanAsia Energy Corp. จำนวน 1 คำขอ
,จีโอเมคคานิคอล เซอร์วิสเซส จำกัด จำนวน 1 คำขอ, อีโค่ โอเรียนท์ รีซอสเซส (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 1 คำขอ และ ยูเอซี ยูทิลิตีส์ จำกัด จำนวน 2 คำขอ โดยถือเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐที่จะชี้ให้นักลงทุนเห็นว่า ประเทศไทยยังคงมีศักยภาพในการสำรวจพบปิโตรเลียม
ซึ่งการเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมบนบกดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในเวลานี้ รวมถึงสร้างผลประโยชน์ให้รัฐในรูปค่าภาคหลวง ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และขับเคลื่อนการเจริญเติบโตให้กับธุรกิจต่อเนื่องอื่นอีกจำนวนมาก จากธุรกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เช่น ธุรกิจเกี่ยวกับร้านอาหาร โรงแรม รวมถึงภาคขนส่ง รวมมูลค่าลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมกว่า 2,400 ล้านบาท
"ปัจจุบันประเทศไทยมีการนำเข้าก๊าซ LNG เพื่อผลิตไฟฟ้า ในความคิดเห็นส่วนตัวเชื่อว่าการนำเข้าจากแห่งไหนก็ตามจะมีต้นทุนที่สูงกว่าการจัดหาเชื้อเพลิงในประเทศ เพราะด้วยราคานำเข้าไม่เสถียร และยังคงมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงพลังงาน จะเห็นว่าช่วงสงครามตะวันออกกลาง ราคา LNG พุ่งสูงขึ้น 2-3 เท่าตัว ทำให้ราคาพลังงานในประเทศไทยเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะค่าไฟ ทำให้รัฐบาลจะต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อพยุงราคาพลังงาน"