วันนี้ (16 กรกฎาคม 2568) ดร.ธนิต โสรัตน์ ประธานกรรมการบริษัทในเครือ V-SERVE GROUP และรองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยว่า สถาบันวิชาการวี-เซิร์ฟ ได้จัดทำโพลสำรวจผู้ประกอบการส่งออกจากกรณี ภาษีทรัมป์ ร้อยละ 36 จากกลุมตัวอย่าง 179 ราย พบว่ามีผู้ประกอบการร้อยละ 42 ได้รับผลกระทบ โดยในจำนวนนี้ได้รับผลกระทบปานกลางไปจนถึงระดับรุนแรงคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 61 ของกลุ่มตัวอย่าง
สถาบันวิชาการวี-เซิร์ฟ ได้จัดทำแบบสำรวจผู้ส่งออก ซึ่งได้รับผลกระทบจากการขึ้นอัตราภาษีร้อยละ 36 ของสหรัฐฯ โดยมีการทำ 2 ช่วง ล่าสุดได้มีการจัดทำโพลแบบสำรวจระหว่างวันที่ 8 – 14 กรกฎาคม 2568 มีผู้ส่งออกตอบแบบสำรวจรวมกัน 179 ราย ประกอบด้วย 17 คลัสเตอร์อุตสาหกรรม ภาพรวมพบว่ากลุ่มตัวอย่างได้รับผลกระทบหากมีการปรับขึ้นภาษีทรัมป์ในอัตราร้อยละ 36 หรือสูงกว่าประเทศเวียดนาม
เมื่อสอบถามเกี่ยวกับยอดขาย ในภาพรวมผู้ประกอบการร้อยละ 58 ยอมรับว่ายอดขายไม่ได้รับผลกระทบ ส่วนที่เหลือร้อยละ 42 ยอมรับว่าได้รับผลกระทบจากกรณีภาษีทรัมป์ โดยลักษณะของผลกระทบส่วนใหญ่ คือ ถูกผลักภาระค่าภาษีจากผู้ซื้อ/วัตถุดิบ-ค่าแรงสูงขึ้น
รองลงมาคือ แนวโน้มคำสั่งซื้อลดลงกระทบต่อยอดขายการแข่งขันในตลาดอื่นๆ รุนแรง ราคาค่า Sea Freight สูง/ผันผวน และสินค้าเวียดนามเข้ามาแย่งตลาดใน USA
สำหรับข้อกังวลของผู้ส่งออกจากมาตรการ “Reciprocal Tariffs” ของสหรัฐฯ พบว่ามีด้วยกัน 8 ประเด็นสำคัญ ดังนี้
1.การขึ้นภาษีทำให้ต้นทุนสินค้าของสหรัฐอเมริกาสูงขึ้น ช่วงที่ผ่านมาผู้นำเข้ามีการกดดันต่อรองด้านราคาและให้ช่วยรับภาระค่าภาษี กระทบต้นทุนของผู้ส่งออกไทยทำให้ผู้ส่งออกต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
2.ราคาสินค้าในสหรัฐฯ เริ่มมีการปรับตัวสูง กระทบการบริโภคในประเทศลดลงหาก หลังวันที่ 1 สิงหาคม ประเทศผู้นำเข้าส่วนใหญ่ยังไม่สามารถตกลงด้านการลดภาษีนำเข้า จะกระทบต่อราคาสินค้าในตลาดอเมริกาให้สูงมากและกระทบผู้นำเข้าต้องหาเงินทุนหมุนเวียนในการจ่ายภาษีมากขึ้น
3.เริ่มเห็นสัญญานการลดลงของออเดอร์ส่งออก โดยเฉพาะคำสั่งซื้อระยะยาวที่ลดลงอย่างเป็นนัย ความกังวลของผู้ส่งออกหากยังคงอัตราภาษีร้อยละ 36 ผู้ประกอบการอยู่ไม่ได้ พบว่าออเดอร์จากสหรัฐฯ เริ่มไหลไปเวียดนามที่มีอัตราภาษีต่ำกว่าไทยและต้นทุนโดยรวมต่ำกว่าไทย
4.ช่วงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม กำลังการผลิตของผู้ส่งออกเริ่มลดลงและจะรุนแรงมากขึ้น หลังพ้นกำหนดผ่อนผันด้านภาษี กำลังการผลิตที่ลดลงมาจากตัวเลขส่งออกที่ลดลงกระทบเป็นลูกโซ่ในโซ่อุปทาน ทั้งอุตสาหกรรมที่สนับสนุนการส่งออก ภาคโลจิสติกส์และขนส่ง
5.ผู้ส่งออกดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เนื่องจากแนวโน้มออเดอร์สั่งซื้อที่ลดลงทำให้ “Overhead Cost” สูงขึ้น มีการลดค่าใช้จ่าย เช่น ค่าไฟฟ้า และการต่อรองราคาวัตถุดิบในประเทศ
6.การแข่งขันในตลาดอื่นนอกสหรัฐอเมริกามีความรุนแรง เนื่องจากทุกประเทศได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของปธน.ทรัมป์ทำให้ผู้ส่งออกของประเทศต่าง ๆ ล้วนหันไปหาตลาดทดแทนการส่งออกไปสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้มีการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรงการหาตลาดใหม่ จึงไม่ใช่เรื่องง่าย
7.ความผันผวนของราคาค่าระวางเรือ โดยเฉพาะที่มาจากสหรัฐอเมริกามีความผันผวนและไม่แน่นอน เช่น ค่าระวางเรือมาจากท่าเรือลอสแองเจลิสราคาตู้ละประมาณ 638 ดอลลาร์/TEU ขณะที่ตู้ Reefer Container หรือตู้แช่แข็งราคา 4,300 ดอลลาร์/TEU
8.อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทแข็งค่าในช่วง 6 เดือนครึ่งของปี 2568 แข็งค่า 1.286 บาท/ดอลลาร์ หรือแข็งค่าประมาณร้อยละ 3.75 (บางช่วงแข็งค่าถึงร้อยละ 4.8) ทำให้แข่งขันด้านราคาได้ยาก
ส่วนข้อเสนอแนะภาคเอกชนที่เสนอให้ภาครัฐเร่งแก้ไขปัญหา มี 6 ข้อ ดังนี้
1. ให้ตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบที่มีต่อผู้ส่งออกและโซ่อุปทาน โดยให้เผยแพร่ข้อมูลที่ชัดเจนเพื่อให้ผู้ส่งออกมีการเตรียมตัวและใช้ในการวิเคราะห์สถานะของธุรกิจ ปัจจุบันผู้ประกอบการใช้ข้อมูลที่ได้รับฟังจากสื่อหรือนักวิชาการอาจไม่ตรงข้อเท็จจริงทำให้นำมาวิเคราะห์ได้ไม่ตรงจุด
2. จากมาตรการป้องกันการสวมสิทธิสินค้าไปสหรัฐฯ ทำให้มีผลกระทบทางอ้อมในการออกเอกสารต่าง ๆ ล่าช้าโดยเฉพาะใบรับรองแหล่งกำเนิด (C/O) โดยเฉพาะที่ออกจากกรมการค้าต่างประเทศจากเดิม 1 วันเพิ่มเป็น 3 วัน (ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ Smart One)
นอกจากนี้ข้อเสนอใหม่ในการเพิ่ม Local Content ซึ่งส่วนใหญ่เดิมร้อยละ 40 เป็นร้อยละ 60 – 70 จะกระทบผู้ประกอบการ BOI ที่ได้รับมาก่อนหน้านี้หรือไม่
3. การเจรจาของ “Thailand Team” ขอให้ดำเนินการเจรจาให้เสร็จก่อนช่วงเดดไลน์ (1 ส.ค.68) หากภาษีอัตราร้อยละ 36 ผู้ประกอบการส่งออกของไทย โดยเฉพาะที่ค้าขายในสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูงอาจอยู่ไม่ได้กระทบต่อการจ้างงาน อัตราภาษีต้องไม่สูงกว่าเวียดนาม ซึ่งเป็นคู่แข่งที่สำคัญ จากข้อมูลล่าสุดที่ยังคงอยู่ที่อัตราร้อยละ 20 ระยะยาวจะกระทบไปถึงการลงทุนจะไหลไปเวียดนาม
ประเด็นเร่งด่วนคือการแก้ปัญหาการสวมสิทธิ “Made in Thailand” ซึ่งสินค้าเข้ามาในแบบ Transshipment และเข้ามาสวมสิทธิในเขต Free Zone และการนำสินค้าแบบกึ่งสำเร็จรูปหรือ สำเร็จรูปแล้วน็อคดาวน์เข้ามาในประเทศเพื่อประกอบเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วส่งออกไปสหรัฐ
4. มาตรการเยียวยาช่วยเหลือผู้ส่งออก ซึ่งรัฐบาลระบุว่าจะมีเงินเสริมสภาพคล่อง 2 แสนล้านบาท ต้องครอบคลุมทั้งโซ่อุปทานได้แก่ อุตสาหกรรมและภาคบริการที่สนับสนุนการส่งออกถึงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 0.1 โดยรัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.0
หากมาตรการนี้คงให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยในรูปแบบเดิม ๆ จะทำไม่ได้ เนื่องจากผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบยอดขายลดลง สถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องมีการตั้งเป็นกองทุนหรือมีมติครม.ให้แบงก์รัฐเป็นผู้พิจารณา เป็นกรณีพิเศษ
5. มาตรการภาษีสูงร้อยละ 36 จะมีผลกระทบมากกับหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมผลิตปลาทูน่า อาหารทะเลแปรรูปและแช่แข็ง เครื่องปรับอากาศ ถุงมือยางและผลิตภัณฑ์จากยางพารา ไม้ยางแปรรูป
6. ขอให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยให้มีการจัดหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ ให้กับผู้ประกอบการ เนื่องจากผู้ประกอบการส่งออกโดยเฉพาะ SMEs ขาดกำลังทรัพย์ที่จะเดินทางไปเปิดตลาดใหม่ ๆ ด้วยตนเอง