รองศาสตราจารย์ดร.ภัทรกิตติ์ เนตินิยม นักวิชาการอิสระ ประธานมูลนิธิห้วยข้องพัฒนาเปิดเผยว่า ปัญหาโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยาสูบที่ฝังรากลึกมานานตั้งแต่เริ่มใช้โครงสร้างภาษียาสูบ 2 อัตราในปลายปี 2560 และช้ำหนักเมื่อปรับขึ้นอัตราภาษีอีกครั้งปลายปี 2564 ทำให้อุตสาหกรรมต้องแบกรับตลอด 8 ปี
“สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นหลักฐานชั้นดีที่บอกกรมสรรพสามิตและกระทรวงการคลังว่า ถึงเวลาแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด และเรียนรู้ที่จะไม่ทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้งกับการแก้ไขโครงสร้างภาษียาสูบ”
ทั้งนี้ การยาสูบแห่งประเทศไทย(ยสท.) ระบุในรายงานประจำปีฉบับล่าสุดปี 2567 ว่า โครงสร้างภาษีบุหรี่ที่ซับซ้อนเป็นภัยต่อการดำเนินธุรกิจอย่างยิ่ง เนื่องจากทำให้บุหรี่ของ ยสท. สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ไม่สามารถตั้งราคาที่ยืดหยุ่นเพิ่มอัตราการทำกำไรได้ และยังไม่สามารถสู้กับบุหรี่นอกที่มีภาพลักษณ์ที่ดีกว่าได้ด้วย
ทั้งนี้ ยสท.เคยมีรายได้รวมกว่า 6.8 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสูงถึง 9.3 พันล้านบาทในปี 2560 แต่หลังประกาศปรับโครงสร้างภาษียาสูบครั้งใหญ่ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในปีงบฯ 2561 ทำให้รายได้และผลกำไรหล่นฮวบ ฉุดกำไรลงแตะ 843 ล้านบาทเมื่อเริ่มใช้ในปีแรก
อัตราการทำกำไรลดจาก 45.2% เหลือเพียง 4% จากภาระภาษีที่สูงมาก และภายหลังการปรับขึ้นอัตราภาษีอีกครั้งภายใต้โครงสร้างภาษี 2 เทียร์ ซึ่งมีผลในปีงบฯ 2565 เท่ากับการปิดเกมบุหรี่ไทย ทำกำไรดิ่งลงเหลือ 121 ล้านบาททันทีในปี 2565 อัตราการทำกำไรเหลือเพียง 0.8%
ขณะที่ภาพรวมการบริโภคของอุตสาหกรรมแม้จะลดลงต่อเนื่องเช่นกัน จาก 34,345 ล้านมวน ในปี 2560 เหลือเพียง 24,857 ล้านมวน ในปี 2567 แต่ก็ลดลงในอัตราที่น้อยกว่าการทรุดตัวของยอดขายของ ยสท. ที่การปรับโครงสร้างภาษีเป็นแบบ 2 อัตรา มีผลทำให้ ยสท. ขายบุหรี่ได้น้อยลงจาก 28,808 ล้านมวน เหลือ เพียง 11,719 ล้านมวน ลดลงกว่า 51%
ส่งผลให้เกษตรกรชาวไร่ยาสูบกว่า 20,000 คน ต้องลงเรือลำเดียวกันไปด้วย จากผลกระทบกับปริมาณการรับซื้อใบยาสูบจากชาวไร่ยาสูบทุกสายพันธุ์ ที่ถูกตัดโควตาทันที 50% ต้อนรับโครงสร้างภาษีแบบใหม่ ทำให้รายได้จากการขายใบยาสูบลดลงกว่า 1.1 พันล้านบาท ชาวไร่ยาสูบจำนวนมากต้องสละอาชีพที่เคยสร้างรายได้ที่มั่นคงกว่าทศวรรษ
ยอดขายบุหรี่มีผลโดยตรงกับการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตยาสูบ นอกจากนี้ยังมีการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตและเก็บภาษีใหม่ ๆ เพิ่มเติม ได้แก่ ภาษีมหาดไทยและภาษีผู้สูงอายุ จนปัจจุบันบุหรี่ราคาถูกในตลาดต้องปรับราคาขึ้นไปขายกันที่ซองละ 70 บาท
ก่อนการปรับโครงสร้างภาษีเป็นแบบ 2 อัตรานั้น รัฐมีรายได้จากสินค้ายาสูบรวม 8 หมื่นล้านบาท แต่ในปี 2567 กลับจัดเก็บรายได้ลดลงอยู่ในระดับ 6 หมื่นล้านบาท
เมื่อพิจารณาการจัดเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิตยาสูบในงบฯ 68 นี้ ก็ยังคงลดลงเรื่อย ๆ โดยช่วง 6 เดือนแรก (ต.ค.-มี.ค.) สามารถจัดเก็บได้เพียง 2.2 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าที่เก็บได้ปีที่แล้ว 4 พันล้านบาท และน่าจะเป็นรายได้ภาษีสรรพสามิตยาสูบได้ต่ำสุดในรอบ 15 ปี ในปีงบประมาณ 2568 นี้ แต่กลับไม่มีแผนการจัดการใด ๆ จากกรมสรรพสามิตและกระทรวงการคลังที่จะพยุงรายได้ภาษีสรรพสามิตไว้
ปี 2560 มีผู้สูบบุหรี่ทุกประเภท (บุหรี่โรงงาน ยาเส้น และบุหรี่อื่น ๆ ) ในไทย 10.7 ล้านคน ต่อมาในปี 2564 ผู้สูบบุหรี่ทุกประเภทลดลงเหลือ 9.9 ล้านคนในปี 2564 แต่ในปี 2567 สำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าผู้สูบบุหรี่ทุกประเภทมีจำนวน 9.8 ล้านคน สะท้อนว่าการปรับขึ้นอัตราภาษีปี 2564 ไม่ได้ส่งผลให้จำนวนผู้สูบบุหรี่ลดลง
แต่ที่แย่ไปกว่านั้น หากดูการบริโภคสินค้าบุหรี่ซิกาแรตหรือบุหรี่โรงงาน ซึ่งเป็นสินค้าหลักที่สร้างรายได้ภาษีสรรพสามิตหลักจะพบว่า มีคนสูบบุหรี่ซิกาแรตเพิ่มขึ้น 2.2 ล้านคน สวนทางกับภาพรวมตลาดบุหรี่ถูกกฎหมายและยอดขายของ ยสท. ที่ลดลงเรื่อย ๆ
สะท้อนว่าบุหรี่โรงงานที่ผู้บริโภคนิยมเพิ่มขึ้นคือบุหรี่เถื่อนที่เกือบจะกลายเป็น 1 ใน 4 ของยอดขายในตลาดบุหรี่ทั้งหมด ในขณะที่คนสูบยาเส้นและบุหรี่ไฟฟ้าก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ดังนั้น การปรับขึ้นอัตราภาษีบุหรี่ที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยลดจำนวนคนสูบบุหรี่ แต่กลับส่งผลกระทบต่อยอดขายบุหรี่ถูกกฎหมาย กระทบ ยสท. เกษตรกร และภาษีสรรพสามิต
บทเรียนของการใช้โครงสร้างภาษียาสูบแบบ 2 อัตราตลอด 8 ปีที่ผ่านมา สะท้อนปัญหา 2 ประเด็น ได้แก่
การเร่งปรับโครงสร้างภาษียาสูบใหม่ให้มีความเรียบง่ายและไม่ซับซ้อนจึงมีความจำเป็น เนื่องจากมีการศึกษาไว้อย่างถี่ถ้วนไว้แล้วว่า การใช้โครงสร้างภาษีแบบอัตราเดียวที่ไม่ซับซ้อนจะมีผลดีต่อการจัดเก็บภาษีของรัฐและการควบคุมการบริโภคบุหรี่ รวมทั้งช่วยบรรเทาผลกระทบกับอุตสาหกรรมทุกภาคส่วน จึงน่าจะเป็นคำตอบที่จะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดตลอด 8 ปีนี้ได้
ขณะที่การปกป้องผู้ประกอบการในประเทศโดยการใช้โครงสร้างภาษีหลายอัตราดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็น่าจะพิสูจน์แล้วว่าไม่มีประสิทธิภาพในการปกป้อง ยสท. ได้ แถมส่งให้เกิดผลกระทบอย่างหนักในอัตราที่มากกว่าการทรุดตัวของตลาดบุหรี่โดยรวมอีกด้วย
ยิ่งในสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศที่มีความอ่อนไหวสูงในเรื่องของการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ คงน่าจะหมดยุคที่หน่วยงานชั้นแนวหน้าอย่างกระทรวงการคลังจะยังคิดใช้โครงสร้างภาษีมาปกป้องผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่งของประเทศต่อไป
สอดคล้องกับแผนปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ซึ่งรวมถึงภาษีสรรพสามิต เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้จีดีพีจาก 12-13% เป็น 18% เพื่อให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น ลดการขาดดุลงบประมาณและมุ่งสู่การจัดทำงบประมาณแบบสมดุล โดยเน้นการสร้างระบบภาษีที่เป็นธรรม ทั่วถึง โปร่งใส ตรวจสอบได้ และสนับสนุนภารกิจด้านสังคมและสุขภาพ
กระทรวงการคลังจึงควรเร่งปรับโครงสร้างภาษียาสูบให้มีประสิทธิในการบรรลุวัตถุประสงค์ของภาครัฐ มีความโปร่งใส และส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม สอดคล้องกับนโยบายการปฏิรูปโครงสร้างภาษีต่าง ๆ เพื่อสร้างรายได้รัฐ ลดการขาดดุลได้เร็วขึ้น
รวมทั้งให้สมกับการที่ประเทศไทยได้ยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงในการเข้าเป็นสมาชิก OECD ซึ่งจำเป็นต้องมีการยกระดับกฎหมายและกฎระเบียบให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานสากลมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความเป็นธรรมและโอกาสที่เท่าเทียมให้ผู้ประกอบการทุกกลุ่มอย่างยั่งยืน
“หากกระทรวงการคลังและกรมสรรพสามิตยังไม่ดำเนินการใด ๆ รายได้ภาษีสรรพสามิตยาสูบคงไม่มีวันกลับคืนมาเหมือนเดิม”