โจทย์หิน ไทยเสียเปรียบดุลการค้าจีนมโหฬาร ถึงเวลารื้อใหญ่ก่อนสาย

29 พ.ค. 2568 | 07:19 น.
อัปเดตล่าสุด :29 พ.ค. 2568 | 07:19 น.

ผ่าโจทย์หินการค้าระหว่างประเทศ “ธนิต โสรัตน์” มองไทยเสียเปรียบดุลการค้ากับจีนแบบมโหฬาร ถึงเวลาที่ต้องแก้ไขอย่างจริงจังก่อนสาย

วันนี้ (29 พฤษภาคม 2568) ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยบทความพิเศษการเสียเปรียบดุลการค้ากับจีนแบบมโหฬาร ถึงเวลาที่ต้องแก้ไขอย่างจริงจัง มีเนื้อหาที่น่าสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ ว่า บริบทประเทศไทยพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศในระดับที่สูงทั้งด้านส่งออก-นำเข้า-การท่องเที่ยว-ตลาดเงินและตลาดทุน โดยเฉพาะกับประเทศสหรัฐอเมริกาและจีนเป็นตลาดส่งออกหลัก

 

ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย

 

ทั้งนี้แค่ 2 ประเทศ มีสัดส่วนรวมกัน 30% ของการส่งออกทั้งหมด ประเทศทั้งสองเป็นมหาอำนาจทั้งด้านเศรษฐกิจและซุปเปอร์พาวเวอร์ เป็นลูกค้ารายใหญ่แถมไม่ค่อยชอบกัน ทำให้ไทยแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจในการต่อรองด้านการค้า และถูกกดดันให้เลือกข้าง ภายใต้สงครามการค้าของศตวรรษที่ 21 

จึงทำให้ไทยต้องพึ่งพาประเทศมหาอำนาจที่ต่างสร้างเงื่อนไขเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์สูงสุด การผลักดันขับเคลื่อนส่งออกบนความไม่สมดุลของการเมืองระหว่างประเทศที่ต่างชิงดีชิงเด่นเป็นเรื่องที่ยากละลงตัว

กรณีที่เห็นชัดเจน เช่น การเสียเปรียบดุลการค้ากับจีนอย่างมโหฬารและต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน ยังไม่รวมสินค้าจีนราคาถูกเข้ามาแย่งตลาดทั้งด้าน Offline และ Online กระทบต่อการผลิตและการจ้างงาน ตามด้วยการหลั่งไหลของคนจีนและทุนจีนที่เข้ามาแย่งอาชีพคนไทยทำธุรกิจทั้งสีขาวและสีเทา เป็นภาพที่เห็นอยู่ชินตาและทำอะไรไม่ได้ 

ขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเหรียญที่กลับด้านไทยส่งออกได้ดุลการค้าต่อเนื่องมาหลายสิบปี เดือนเมษายนที่ผ่านมาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศนโยบายภาษีตอบโต้ขาดดุลการค้า (Reciprocal Tariffs) ไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าอัตรา 36% คงไม่มีทางเลือกต้องประเคนเงื่อนไขดี ๆ ให้สหรัฐฯ พอใจแต่การเจรจายังไปไม่ถึงไหนเพราะยังไม่ได้บัตรคิวเข้าพบ

 

โจทย์หิน ไทยเสียเปรียบดุลการค้าจีนมโหฬาร ถึงเวลารื้อใหญ่ก่อนสาย

 

ภายใต้กระแสการค้าระหว่างประเทศภายใต้ “Trump Trade War” ที่ตั้งภาษีนำเข้าในอัตราสูงแก่ประเทศต่าง ๆ ขณะเดียวกันกดดันสร้างข้อตกลงให้เพิ่มการส่งออกไปประเทศเหล่านั้นมากขึ้น เสมือนเป็นการย้อนกลับไปสู่ยุคพาณิชย์นิยม (Mercantilism) ที่แต่ละประเทศเน้นผลักดันส่งออกมากกว่าการนำเข้า เพื่อที่จะได้เปรียบดุลการค้านำไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ รายงานฉบับนี้จึงนำเสนอกรณีศึกษาประเทศสหรัฐฯ และประเทศจีน

กรณีศึกษาประเทศสหรัฐอเมริกา 

เป็นประเทศที่ไทยได้เปรียบดุลการค้าต่อเนื่องมาหลายสิบปี สหรัฐฯ ขยับตัวเป็นลูกค้าส่งออกรายใหญ่อันดับ 1 ปีที่ผ่านมามูลค่า 54,956.2 ล้านเหรียญสหรัฐ  ในช่วง 4 เดือน (ม.ค. - เม.ย. 68) มูลค่าสัดส่วน 19.5% อัตราการขยายตัว 25.01% ข้อสังเกตการส่งออกไปสหรัฐฯ ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีการเร่งตัวและเดือนพฤษภาคมไปจนถึงกลางมิถุนายน 2568 ยังอยู่ในอัตราสูง 

เป็นเพราะผู้นำเข้าในสหรัฐฯ เร่งออเดอร์ เพื่อให้ทัน Deadline วันที่ 9 กรกฎาคม ซึ่งครบเวลาต้องเสียภาษี 36% ด้านการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เป็นลำดับ 3 สัดส่วน 6.27% อัตราการขยายตัว 13.34% เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้วหดตัว 0.97%

หากตัวเลขยังคงที่ปีนี้อาจทำให้ไทยได้เปรียบดุลการค้า 41,980 ล้านเหรียญสหรัฐ อัตราการขยายตัว 18.5% และปี 2567 อัตราการขยายตัว 22% คงเป็นประเด็นที่ทางสหรัฐฯ ใช้เป็นข้อต่อรองแลกเปลี่ยนเพื่อให้เขาลดภาษีนำเข้า

กรณีศึกษาประเทศจีน 

ไทยเสียเปรียบดุลการค้าต่อเนื่องมาอย่างยาวนานหลังวิกฤตโควิด-19 จีนเป็นลูกค้าส่งออกอันดับ 2 สัดส่วน 11.5% และอัตราการขยายตัว 14.3% ปีที่ผ่านมา มูลค่า 35,243.3 ล้านเหรียญสหรัฐ (ตัวเลขนี้ยังไม่รวมส่งออกไปฮ่องกง) ด้านการนำเข้าอยู่ลำดับที่ 1 สัดส่วนสูงถึง 28.9% อัตราการขยายตัว 28.55% 

ข้อสังเกตในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา อัตราการนำเข้าจากจีนสูงผิดปกติ เดือนมีนาคม 2568 ขยายตัวถึง 45.9% และเดือนเมษายน ขยายตัว 38.84% เปรียบเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ ขยายตัวเพียง 9.4% แสดงให้เห็นถึงการนำเข้าเพื่อเป็นวัตถุดิบเพื่อส่งออกให้กับสหรัฐฯ

การขาดดุลการค้ากับจีน คาดว่า ปี 2568 ประมาณ 57,690 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อัตราการขยายตัว 27.2% เปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าการขาดดุลการค้ากับจีน ขยายตัว 23.7% 

 

โจทย์หิน ไทยเสียเปรียบดุลการค้าจีนมโหฬาร ถึงเวลารื้อใหญ่ก่อนสาย

 

ในช่วงที่ผ่านมาอัตราการขยายตัวขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นทุกปี เฉลี่ยมากกว่า 20% ประเด็นคือ การขาดดุลการค้ากับจีนมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปียังไม่รวมตัวเลขการนำเข้าสินค้าออนไลน์ รวมถึงการขาดดุลภาคบริการที่คนจีนเข้ามาแย่งอาชีพและแย่งงานคนไทย โดยเฉพาะการนอมินีครอบงำธุรกิจและการสวมสิทธิ์สินค้าไทย ซึ่งกำลังถูกสหรัฐอเมริกาเพ่งเล็งให้ไทยแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม 

การเจรจากับสหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะไทยติดอยู่ในกลุ่ม TOP10 ประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้า ขณะที่ประเทศจีน ไทยกลับเสียเปรียบดุลการค้าอย่างมโหฬาร แต่ละปีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างน่าวิตก ซึ่งภาครัฐจะต้องมียุทธศาสตร์เป็นวาระแห่งชาติที่จะเข้ามาดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจังก่อนที่เศรษฐกิจจะเสียหายมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามภายใต้ปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันการที่จะให้มีความสมดุลการค้าระหว่างประเทศจึงยากที่จะลงตัว