วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงภายหลังการหารือกับผู้บริหารจากสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์) เพื่อส่งเสริมและแก้ปัญหาการส่งออกยานยนต์ของไทย ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ทำรายได้เข้าประเทศเป็นลำดับที่ 3 ของไทย ซึ่งไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและการส่งออกยานยนต์สำคัญของโลก โดยมีนายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายสุวัชร์ ศุภกาญจน์เดชากุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย นางสาวยุพิน บุญศิริจันทร์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ร่วมด้วย
นายภูมิธรรม กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ยึดหลักร่วมมือกับเอกชน ส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และการค้าในประเทศให้เข้มแข็ง และพยายามลดภาระต้นทุนผู้ประกอบการ สร้างรายได้เข้าประเทศ
ซึ่งรัฐบาลโดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยึดหลักแก้ไขอุปสรรคให้เอกชนเป็นทัพหน้าหารายได้เข้าประเทศ รัฐพร้อมแก้ไขปัญหาอุปสรรค แก้ไขปรับปรุงกฎหมาย รวมถึงการผลักดันการใช้ประโยชน์จากการเจรจา FTA สร้างโอกาสทางการค้า หาตลาดใหม่ และนักลงทุนเข้ามาในประเทศให้มากขึ้น
ด้านนายสุวัชร์ ศุภกาญจน์เดชากุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯได้มาขอการสนับสนุนจากกระทรวงพาณิชย์ในเรื่องของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เช่น การเจรจา FTA ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกหลาย FTA ซึ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์แห่งอนาคต โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า เงื่อนไขการส่งออกอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง และการทำธุรกิจที่สะดวกรวดเร็วขึ้น เช่น การใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะช่วยสนับสนุนไปสู่ระบบ paperless และการส่งออกไปจุดหมายสำคัญอย่างออสเตรเลียได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี
ทั้งนี้การผลิตเพื่อขายในประเทศ ปีที่ผ่านมาการผลิตเพื่อขายในประเทศติดลบประมาณ 8% แต่การส่งออกยังดีบวกประมาณ 11% สาเหตุหลักของการติดลบของการผลิตเพื่อขายในประเทศเป็นเรื่องของปิกอัพเป็นหลัก ติดลบประมาณ 30% มาจากหนี้สินครัวเรือน และการปล่อยสินเชื่อในภาวะ NPL ในระบบการขายรถยนต์สูง อย่างไรก็ตามปี 2567 คาดว่าจะมีการผลิตรถยนต์ประมาณ1,900,000 คัน
สินค้าส่งออก 4 อันดับแรก 1.รถยนต์นั่ง 2.รถปิกอัพ รถบัส และรถบรรทุก 3.รถจักรยานยนต์ และ 4.รถจักรยาน โดยประเทศที่ส่งออก 10 อันดับแรก 1.ออสเตรเลีย 2.ฟิลิปินส์ 3.ซาอุดีอาระเบีย 4.ญี่ปุ่น 5.สหรัฐอเมริกา 6.เวียดนาม 7.เม็กซิโก 8.มาเลเซีย 9.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ 10.อินโดนีเซีย