หลังการเข้าซื้อกิจการโรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2558 ของบริษัทอินเตอร์ ฟาร์อีสท์ แคป แมนเนจเมนท์ จำกัด หรือ ICAP ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทอินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือIFEC ใช้เวลาราว 6 เดือน ก็จะมีการยื่นเรื่องขอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการในเดือนมิถุนายน2559 ทั้งภายในสิ้นปีนี้โรงแรมจะหมดภาระหนี้สินร่วม 5 พันล้านบาท และยังรับรู้กำไรทันทีจากการปรับโครงสร้างหนี้ที่จะเกิดขึ้น รวมทั้ง IFEC ยังวางยุทธศาสตร์ที่จะขยายพอร์ตธุรกิจ ภายใต้"แบรนด์ดาราเทวี" เพื่อเพิ่มรายได้ด้วย อ่านได้จากสัมภาษณ์ นายสิทธิชัย พรทรัพย์อนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทอินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือIFEC
[caption id="attachment_58354" align="aligncenter" width="700"]
โครงสร้างธุรกิจ บริษัทอินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (IFEC)[/caption]
ไทม์มิ่งดีเอื้อซื้อโรงแรมสุดคุ้ม
ซีอีโอ IFEC เปิดใจว่า โครงสร้างการดำเนินธุรกิจของ IFEC (ตารางประกอบ) ชัดเจนว่าเราอยู่ในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือกเป็นหลัก ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังลม โรงไฟฟ้าชีวมวลและพลังงานขยะ และหากรวมการดำเนินธุรกิจระบบเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ ระบบสมาร์ทกริด ระบบแบตเตอรี่สำรองไฟฟ้า ธุรกิจไฟเบอร์ออฟติก หากรวมกันทั้งหมดสัดส่วนรายได้ของIFEC จะอยู่ที่ราว 80% ขณะที่สัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงแรมดาราเทวี จะอยู่ที่ราว 15% และส่วนธุรกิจอื่นๆอีกราว 5%
จากสัดส่วนรายได้ที่เกิดขึ้น ทำให้แผนการลงทุนของ IFEC จึงโฟกัสไปที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือกเป็นหลัก และเป็นรายได้ที่แน่นอน เพราะเป็นเรื่องของสัมปทาน แต่ขณะเดียวกันเราก็เล็งเห็นถึงโอกาสในการขยายการลงทุนใหม่ๆที่จะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดี จึงเป็นที่มาของดีลการซื้อโรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่ ซึ่งการซื้อกิจการโรงแรมแห่งนี้ได้ดีลราคาที่ดีมาก เป็นเพราะเป็นไทม์มิ่งที่ดีมาก ใน 2 เรื่องหลัก
ไทม์มิ่งแรก คือ ผู้ถือหุ้นเดิมทั้งฝั่งไทยและฝั่งผู้ถือหุ้นชาวจีน ถึงเวลาต้องตัดสินใจพอดี ทำให้เราสามารถซื้อโรงแรมในราคาที่ดีมาก ท้ายสุดจะซื้อได้ไม่เกิน 2 พันล้านบาท ขณะที่หากประเมินจริงๆโรงแรมนี้มีมูลค่าสูงถึง 5-6 พันล้านบาท ( เฉพาะที่ดิน 1 ไร่มีมูลค่า 20 ล้านบาท จากที่ดินทั้งหมด 155 ไร่ ก็ปาเข้าไป 3.1 พันล้านบาทแล้ว ยังไม่รวมสิ่งปลูกสร้าง) ซึ่งโรงแรมนี้ ถือว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทยแล้ว และโรงแรมแบบดาราเทวี เชียงใหม่ ที่มีความอลังการมากจะไม่มีทางเกิดขึ้นในไทยอีกแน่นอน เพราะโครงการนี้ในแง่ของการเงินถือว่าโอเวอร์ อินเวสเม้นท์ แต่เกิดขึ้นได้ เพราะเจ้าของเดิมสร้างจากใจ และเป็นแหล่งรวมศิลปะล้านนามาไว้ในที่เดียว
อีกไทม์มิ่งที่ดี คือ ในแง่ของการดำเนินธุรกิจของโรงแรมที่ไปได้ดีซึ่งกว่า 3 ปีที่ผ่านมาได้สร้างผลงานที่ดีมาก วัดได้จากอีบีด้า(กำไรก่อนหักค่าเสื่อมและดอกเบี้ยจ่าย)ที่เติบต่อเนื่อง จาก 80 ล้านบาทในปี 2556 ขยับมาเป็น 120 ล้านบาทในปี2557 ขึ้นมาเป็น 170 ล้านบาทในปี2558 และในปีนี้คาดว่าจะแตะเกือบ 200 ล้านบาท และรายได้ ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ทำสถิติรายได้สูงสุดในรอบ 10 ปีนับจากเปิดโรงแรมมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2549
ดีเดย์ก.ค.ร่วมลงทุนพัฒนาอสังหาฯ
ขณะที่ความคืบหน้าในการดำเนินการตามฟื้นฟูกิจการ คาดว่าโรงแรมจะออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ หลังจากการปรับโครงสร้างหนี้จาก 5 พันล้านบาทเหลือ 2 พันล้านบาท และการนำสินทรัพย์บางตัว โดยเฉพาะที่ดิน ที่จะพัฒนาร่วมสามารถทำกำไรในอนาคต บนพื้นที่ 40 ไร่ด้านหลังโรงแรม ซึ่งจะเป็นลักษณะการร่วมทุนทำโครงการใหม่ในพื้นที่ด้านหลังโรงแรมที่จะเกิดขึ้น
โดยหลังออกจากแผนฟื้นฟู ดาราเทวี เชียงใหม่ จะเหลือมูลหนี้รอบสุดท้ายอยู่ที่ราว 950 ล้านบาท ที่จะเคลียร์ภาระหนี้ให้จบภายในสิ้นปีนี้ และทำให้โรงแรม ปลอดภาระหนี้สิน ไม่ต้องมีภาระเรื่องของค่าเสื่อมและดอกเบี้ยจ่ายปีร่วม 300 ล้านบาทมาเป็นปัญหาอีก ทำให้โรงแรมจะทำกำไรจากการดำเนินงานได้ทันทีราว 100 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ยังสามารถบันทึกกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มเติมในปีนี้อีกราว 3 พันล้านบาท ส่วนยอดขายของโรงแรมในปีนี้น่าจะอยู่ที่ราว 600 ล้านบาท จากจำนวนห้องพัก 123 ห้อง
เขายังกล่าวต่อว่า นอกจากการดำเนินธุรกิจของโรงแรม123 ห้องที่มีอยู่แล้ว ภายโรงแรมยังมีส่วนการก่อสร้างที่เป็นเรสสิเด้นท์ ในลักษณะพูลวิลล่า 14 ยูนิต มูลค่าการลงทุนราว 600-700 ล้านบาทที่เจ้าของโรงแรมเดิม ก่อสร้างคืบหน้าไปกว่า 90% แล้ว เหลือตกแต่งอีก 10% ซึ่งเราลงทุนอีกราว 100 ล้านบาท ก็เตรียมจะเปิดขายได้ราคาตารางเมตรละ 2 แสนบาทขึ้นไป
ขณะที่การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์หรู ในพื้นที่ด้านหลังโรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่ อีก 40 ไร่ (ทางเข้า-ออกคนละทางกับโรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่) ภายในเดือนกรกฏาคมนี้ ก็จะมีการประกาศร่วมลงทุนกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่แห่งหนึ่ง ในการร่วมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนท์ เป็นโรงแรมขนาด 80 ห้อง คอนโดมิเนียม 120 ห้อง และเรสสิเด้นท์ วิลล่า (พูลวิลล่า) อีก 16 วิลล่า มูลค่าโครงการกว่า 5 พันล้านบาท ซึ่ง IFEC จะลงทุนเป็นเรื่องของที่ดิน ไม่ได้ลงเป็นตัวเงิน เพราะการพัฒนาโครงการจะเป็นภาระของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จะเข้ามาร่วมลงทุน ซึ่งการร่วมลงทุนนี้ไม่เพียงเราจะได้รับการแบ่งกำไรจากการขายอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่เรายังสามารถชาร์จค่าบริการต่างๆให้แก่ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในโครงการได้ด้วยเพราะ งานบริการจะซัพพอร์ตเซอร์วิสของดาราเทวี เชียงใหม่ ซึ่งเป็นการบริการระดับ 6 ดาว
ตั้งดาราเทวีโฮดดิ้งส์ต่อยอดธุรกิจ
อีกทั้งเพื่อต่อยอดการดำเนินธุรกิจของดาราเทวี เชียงใหม่ เราเตรียมจัดโครงสร้างตั้งเป็น "ดาราเทวี โฮลดิ้ง คอมพานี เพื่อขยายการลงทุนและดำเนินธุรกิจออกเป็น 6 ด้าน ได้แก่ " ธุรกิจโรงแรม" ซึ่งต่อไปหากโรงแรมระดับ 5 ดาวที่ไหนจะขาย หากเห็นโอกาสที่เราจะได้ผลตอบแทนที่ดี เราก็สามารถเข้าไปซื้อกิจการ และใช้เชนดาราเทวีได้ "ธุรกิจการบริหารสินทรัพย์" โดยบริษัทได้จัดตั้งบริษัทเพื่อพัฒนาสินทรัพย์ในพื้นที่ 155 ไร่ ในการสร้างรายได้เพิ่มเติมเข้ามา อาทิ การสร้างเรสซิเดนซ์จำหน่าย เป็นต้น
รวมไปถึง "ธุรกิจร่วมลงทุน" ซึ่งเป็นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บนพื้นที่ 40 ไร่ที่จะร่วมลงทุนกับพันธมิตรที่จะเกิดขึ้น โดยบริษัทจะเข้าไปถือหุ้นในส่วนนี้ราว 49% 4. ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งดาราเทวี มีอาหารและเครื่องดื่มขึ้นชื่อมาก ทำให้เราสามารถขยายธุรกิจในด้านนี้เพิ่มได้อีก "ธุรกิจสปาบำบัด" หรือเวลเนส สปา ซึ่งปัจจุบัน THE DHAVA SPA ของดาราเทวีมีชื่อเสียงอย่างมาก สามารถนำมาต่อยอดรองรับเรื่องของเมดคัลฮับของไทยได้และ "ธุรกิจการบริหารจัดการแบรนด์ดาราเทวี" ด้วยระบบการดำเนินงานที่เป็นเลิศของดาราเทวีและความมีชื่อเสียงด้านการบริการ ทำให้บริษัทสามารถขายสิทธิ์ในการใช้แบรนด์ดาราเทวี รวมไปถึงการพัฒนาเชนโรงแรมดาราเทวีที่จะเกิดขึ้น
การจัดโครงสร้างดังกล่าวจะทำให้โรงแรมดาราเทวีสามารถขยายธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับการซื้อโรงแรมแห่งนี้ ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องฮาร์ดแวร์ คือ ตัวโรงแรมที่ดีมาก ยังได้เรื่องซ็อฟแวร์ คือพนักงานกว่า 600 คนที่มีเซอร์วิสการให้บริการที่ดีมาก และทีมผู้บริหารชุดเดิมทั้งหมด ทำให้การบริหารโรงแรมเป็นไปด้วยดี และสามารถต่อยอดการลงทุนอื่นๆที่จะตามมาได้จากโนฮาวที่มี และบริษัทมีแผนที่จะนำโรงแรมดาราเทวี เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในราวในช่วงปลายปีหน้า เพื่อระดมทุนในการต่อยอดธุรกิจภายใต้แบรนด์ดาราเทวี ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจด้วย
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,162 วันที่ 2 - 4 มิถุนายน พ.ศ. 2559