จีนเปิดประเทศ หนุนเศรษฐกิจไทยปี66 ขยายตัว 3.7%

15 ม.ค. 2566 | 00:47 น.

การเปิดประเทศเร็วของจีน ส่งผลบวกให้มีการปรับเพิ่มคาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา 25.5 ล้านคน และการส่งออกหดตัวลดลงที่ -0.5% หนุนศก.ไทยปี 66 ขยายตัว 3.7%

 

 

 

การเปิดประเทศเร็วกว่าคาดของจีน ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 ขึ้นมาอยู่ที่ 3.7% จาก 3.2%  เนื่องจากผลบวกต่อภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกไทย 

 

โดยในปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาราว 4.65 ล้านคน ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวรวมอยู่ที่ราว 25.5 ล้านคน (กรอบ 24-26 ล้านคน) ขณะที่ การส่งออกโดยรวมหดตัวลดลงมาอยู่ที่ -0.5% เนื่องจากการส่งออกสินค้าไปจีนโดยเฉพาะในหมวดสินค้าผู้บริโภคคาดว่าจะขยายตัวมากขึ้น แม้ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในภาพรวมจะยังคงกดดันการส่งออกไทยอยู่ 

 

สินค้าส่งออกไทยไปจีนที่น่าจะได้ประโยชน์มากสุดอยู่ที่สินค้าที่ตอบโจทย์การบริโภคในกลุ่มอาหารเป็นหลัก อาทิ ผลไม้ ผลไม้กระป๋อง ข้าว ไก่ กุ้ง น้ำตาล รวมถึงสินค้าเพื่ออุตสาหกรรมและสินค้าเพื่อการผลิตมีสัญญาณว่าน่าจะทำตลาดได้มากกว่าเดิมด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไร้ข้อจำกัดจากการปลดล็อกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ แต่จากการกระจายฐานการผลิตออกจากจีนในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังอ่อนแรงส่งผลให้การผลิตและส่งออกของจีนคงทำได้อย่างจำกัด ทำให้การส่งออกสินค้ากลุ่มนี้เติบโตเชื่องช้ากว่าสินค้าส่งออกในกลุ่มการบริโภค อาทิ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผลิตภัณฑ์ยาง และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ

 

ขณะที่ ในด้านของเงินเฟ้อ การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดและการเปิดประเทศเร็วกว่าคาดของจีนคงเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในภาพรวมทรงตัวอยู่ในระดับสูงเป็นระยะเวลานาน แม้จะได้รับแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะจากสหรัฐฯ และยูโรโซน แต่ปัจจัยการเปิดประเทศของจีนคาดว่าไม่ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์เร่งตัวเท่ากับปี 2565 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามรัสเซีย-ยูเครน 


 

ในกรณีฐาน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ราว 90 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล ลดลงจากค่าเฉลี่ยในปี 2565 ที่อยู่ที่ราว 97 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในขณะที่ เงินเฟ้อไทยคาดว่าจะอยู่ที่ราว 3.2% ในปีนี้ เนื่องจากการส่งผ่านต้นทุนจากผู้ประกอบการไปยังผู้บริโภคตามภาระต้นทุนค่าไฟรวมถึงค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับแนวโน้มราคาน้ำมันในประเทศที่อาจไม่ปรับลดลงเร็ว เนื่องจากภาครัฐยังมีภาระกองทุนน้ำมันที่ยังขาดดุลในระดับสูง