ผ่าปัญหา “คนจน” ประเทศไทย ต้นตอจริงอาจไม่ใช่แค่เรื่องเงิน

25 ธ.ค. 2565 | 07:55 น.

เปิดข้อมูลใหม่สถานการณ์ความยากจนในประเทศไทย ต้นตอแท้จริงอาจไม่ใช่แค่เรื่องเงินอย่างเดียวที่ทำให้เกิดจำนวนคนจนหลักล้านคน เช็ครายละเอียดน่าตกใจที่รอการแก้ไข

สถานการณ์ความยากจน ของไทยในปัจจุบัน แม้ตัวเลขอาจจะปรับลดลงมาเล็กน้อย หลังรัฐบาลอัดสารพัดโครงการช่วยเหลือลงไปต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเติมเงินเข้าประเป๋า "คนจน" ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แต่ท้ายที่สุดดูเหมือนจะยังแก้ปัญหาไม่ตรงจุด เพราะเรื่องเงินอาจไม่ใช่ต้นตอปัญหาที่แท้จริง หากแต่มีเรื่องอื่นที่รุนแรงและซับซ้อนกว่ารอคอยการแก้ไข

 

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลง ภาวะสังคมไทยไตรมาสที่ 3 ปี 2565 มีเรื่องหนึ่งที่หยิบยกมานำเสนอเกี่ยวกับสถานการณ์ความยากจน โดยเฉพาะการมองคนจนหลายมิติ ปี 2564 ปัญหาที่ไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น โดย สศช. สรุปรายละเอียดไว้น่าสนใจ ดังนี้ 

 

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2564 แม้จะรุนแรงขึ้นกว่าช่วงปี 2563 จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากถึง 2 ล้านคน จากเดิมที่ติดเชื้อไม่ถึงหมื่นคนในปีก่อน แต่สถานการณ์ดังกล่าว กลับไม่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ความยากจนที่อยู่ในรูปตัวเงินมากนัก 

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

ภาพประกอบข่าวสถานการณ์ความยากจนในประเทศไทย

ทั้งนี้เมื่อพิจารณาคนที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน (คนจน) ในปี 2564 พบว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 4.4 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนคนจนที่ 6.32% ลดลงจากปีก่อนที่มีจำนวน 4.7 ล้านคน หรือมีสัดส่วนคนจน 6.83%

 

เส้นความยากจน (คนจน) ในปี 2564 สศช.

 

สาเหตุสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ความยากจนปรับตัวดีขึ้น คือ การที่รัฐบาลมีการดำเนินมาตรการเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับกลุ่มคนจนและผู้มีรายได้น้อย ประกอบด้วย

  • โครงการเพิ่มกำลังซื้อผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐระยะที่ 2 และ 3 ระหว่างเดือนมกราคม – มีนาคม 2564 และเดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2564 
  • โครงการ ม.33 เรารักกัน ระหว่างเดือนมีนาคม – มิถุนายน 2564 
  • โครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 39 และ 40 ในกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ และในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 
  • โครงการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ อาทิ โครงการบรรเทาภาระค่าสาธารณูปโภคไฟฟ้าและประปา

ทั้งนี้แม้สถานการณ์ความยากจนจะลดลงและดูเหมือนว่าการมีมาตรการช่วยเหลือโดยการอุดหนุนเงินให้กับกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยจะสามารถบรรเทาปัญหาความยากจนให้ลดลงได้ อย่างไรก็ตามนิยามของความยากจนยังรวมถึงการขาดแคลน ขัดสน หรือขาดโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ  และการไม่สามารถเข้าถึงบริการและความช่วยเหลือของรัฐด้วย 

 

สถานการณ์ความยากจนหลากหลายมิติของประเทศไทย

 

ดังนั้นจึงพบปัญหาว่า ในปี 2564 ยังมีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตอีกหลายด้านที่ต้องให้ความสำคัญ ดังต่อไปนี้

 

ปัญหาด้านการศึกษา

 

ช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 การใช้มาตรการควบคุมส่งผลให้เด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษาถึง 2.8 แสนคน และเกิดปัญหาภาวะความถดถอยทางการเรียนรู้ที่ส่งผลกระทบต่อทักษะการศึกษาและการทำงานในอนาคต 

 

ที่ผ่านมามีข้อมูลจาก กระทรวงศึกษาธิการ รายงานว่า ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา มีการสำรวจพบว่า เด็กไทยหลุดออกจากระบบการศึกษาจำนวนมาก โดยสาเหตุที่เด็กต้องหลุดระบบการศึกษาไปนั้น นอกจากสถานการณ์โควิด-19 แล้ว ยังเป็นเรื่องของความจำเป็นทางครอบครัว หรือผู้ปกครองมีรายได้น้อยไม่พอเพียง ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ ตั้งเป้าหมายค้นหาเด็กที่หลุดจากระบบ กลับมาให้ได้ครบ 100% ในปี 2565 นี้

 

ปัญหาด้านสุขภาพ 

 

จากข้อมูลการประเมินสุขภาพจิตคนไทยตลอดปี 2564 ชี้ให้เห็นว่า คนไทยมีความเครียดสูงและเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนผู้มีภาวะเครียดสูงอยู่ที่ 14.5% เสี่ยงซึมเศร้า 16.8% และเสี่ยงฆ่าตัวตาย 9.5% ในกลุ่มประชาชนทั่วไป ซึ่งปัญหาดังกล่าวพบมากในกลุ่มเด็ก เยาวชน และวัยเรียนอายุไม่ถึง 20 ปี และ 20 – 29 ปี ซึ่งมีสัดส่วนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประชาชนทั่วไปถึงเท่าตัว 

 

ขณะเดียวกันยังพบปัญหาการเข้าถึงการรักษาพยาบาลและการขาดทรัพยากรที่เพียงพอในการรองรับวิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้การใช้บริการสุขภาพในด้านต่าง ๆ ลดลง ทั้งการใช้บริการเมื่อเจ็บป่วยและการใช้บริการส่งเสริมสุขภาพอื่น ๆ 

 

ปัญหาด้านความเป็นอยู่ 

 

จากข้อมูลพบว่า ปัญหาคนไร้บ้านและการขาดแคลนที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สถานการณ์โควิด-19 ยังทำให้ปัญหาขยะติดเชื้อมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นเกือบเท่าตัวในปี 2564 โดยมีมากกว่า 8,234 ตัน ที่ไม่ได้รับการกำจัดอย่างถูกต้อง ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง 

 

ปัญหาด้านหลักประกันรายได้

 

นอกจากนี้ในเรื่องของหลักประกันรายได้ ยังพบปัญหาที่คนจำนวนมากไม่ได้รับการช่วยเหลือตามระบบปกติจากวิกฤตโควิด-19 เนื่องจากไม่มีหลักประกันทางสังคม รวมทั้งยังมีปัญหาจากการขาดรายได้และไม่มีเงินออมเพียงพอที่จะรองรับการขาดรายได้จากช่วงวิกฤต ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้สะท้อนถึงปัญหาความยากจนได้ทั้งสิ้น

 

ภาพรวมสถานการณ์ความยากจนหลายมิติ

 

สศช. ระบุด้วยว่า ภาพรวมสถานการณ์ความยากจนหลายมิติ ในปี 2564 พบว่า คนจนหลายมิติ มีจำนวน 8.1 ล้านคน มีแนวโน้มที่ดีขึ้น กล่าวคือ มีสัดส่วนคนจนลดลงจาก 27.45% ในปี 2556 เหลือ 11.6% ในปี 2564 อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบคนจนหลายมิติและคนยากจนด้านตัวเงินจากเส้นความยากจน พบว่า 

 

ความยากจนด้านตัวเงินและหลายมิติของไทยมีแนวโน้มลดลง แต่ความยากจนหลายมิติมีปัญหาที่รุนแรงกว่าความยากจนด้านตัวเงินมากจากจำนวนคนจนหลายมิติที่มีจำนวนมากกว่าคนยากจนด้านตัวเงินเกือบเท่าตัว โดยคนจนด้านตัวเงินมีเพียง 4.4 ล้านคน เท่านั้น 

 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความยากจนทั้ง 2 รูปแบบ มีทิศทางสอดคล้องกันคือ มีแนวโน้มลดลง และเมื่อพิจารณาปัจจัยที่ส่งผลต่อความยากจนหลายมิติ พบว่า มิติความเป็นอยู่ส่งผล ต่อความยากจนหลายมิติมากที่สุด รองลงมาเป็นมิติความมั่นคงทางการเงิน การใช้ชีวิตในแบบที่ดีต่อสุขภาพ และการศึกษา ตามลำดับ