สศช.กางตัวเลข “คนจน-ความเหลื่อมล้ำ” ไทยไม่รั้งท้ายเอเชีย

27 ต.ค. 2565 | 07:32 น.

สศช.กางตัวเลข “คนจน-ความเหลื่อมล้ำ” ประเทศไทย ยืนยันไม่ได้รั้งท้ายเอเชียตะวันออก-แปซิฟิก หลัง ธนาคารโลก ออกรายงานไทยมีอัตราความไม่เท่าเทียมรายได้สูงที่สุด

จากกรณี ธนาคารโลก ออกรายงาน “Thailand Rural Income Diagnostic: Challenges and Opportunities for Rural Farmers” เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 ระบุว่า ประเทศไทยมีอัตราความไม่เท่าเทียมกันด้านรายได้สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก โดยภาคครัวเรือนในพื้นที่ชนบทนั้นมีรายได้โดยเฉลี่ยต่อเดือนเพียง 68% ของรายได้เฉลี่ยต่อเดือนของภาคครัวเรือนในพื้นที่เขตเมือง

 

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ชี้แจงประเด็นต่าง ๆ ตามรายงานของธนาคารโลก ระบุถึงความยากจน ความแตกต่างกันของความยากจนระหว่างพื้นที่ และสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของรายได้ในประเทศไทยนั้น โดยเฉพาะเรื่อง “คนจน-ความเหลื่อมล้ำ” สรุปได้ดังนี้

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ภาพประกอบข่าว สศช. เรื่องตัวเลขคนจน-ความเหลื่อมล้ำไทย

 

สถานการณ์ความยากจนและผลกระทบจากโควิด-19 

 

สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เศรษฐกิจของไทยหดตัวอย่างรุนแรง โดยในปี 2563 หดตัวถึง 6.2% และส่งผลให้ผู้ว่างงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 6.5 แสนคน หรือเพิ่มขึ้น 74.4% (อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้นจาก 1% เป็น 1.69%) ส่งผลให้สัดส่วนคนจนเพิ่มขึ้นจาก 6.26% ในปี 2562 หรือคิดเป็นจำนวนคนจน 4.3 ล้านคน เป็น 6.83% ในปี 2563 หรือมีจำนวนคนจน 4.7 ล้านคน

 

อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 สถานการณ์ความยากจนปรับตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดยสัดส่วนคนจนลดลงมาอยู่ที 6.32% หรือมีคนจนเหลือเพียง 4.4 ล้านคน เท่านั้น

 

สำหรับผู้ที่กลับภูมิลำเนาส่วนใหญ่มักไปประกอบอาชีพเกี่ยวกับการเกษตร หรือกล่าวได้ว่าภาคเกษตรกรรมเป็นภาคเศรษฐกิจที่ดูดซับประชากรที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งในช่วงปี 2563 ภาคเกษตรได้รับอานิสงค์จากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 

 

จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรในปี 2563 พบว่า ภาพรวมการผลิตสินค้าเกษตรของเกษตรกรลดลงจากในช่วงต้นของการระบาดของโควิด-19 ที่มีการจำกัดการเดินทางระหว่างพื้นที่ 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาดังกล่าวราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉลี่ยในปี 2563 ขยายตัวถึง 6.05% และส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ดีขึ้นสะท้อนจากดัชนีรายได้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้น 2.27% ในปี 2563

 

ทั้งนี้ หากพิจารณารายได้ต่อหัวระหว่างปี 2562 และ 2564 พบว่า คนที่อาศัยนอกเขตเทศบาลเป็นกลุ่มที่มีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าคนที่อาศัยในเขตเทศบาล โดยในปี 2562 รายได้เฉลี่ยของคนที่อาศัยนอกเขตเทศบาลอยู่ที่ 7,588 บาท บาทต่อคนต่อเดือน และเพิ่มขึ้นเป็น 8,130 บาทต่อคนต่อเดือนในปี 2564 หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 7.14%

 

ขณะที่คนที่อาศัยในเขตเมืองมีรายได้อยู่ที่ 11,712 บาทต่อคนต่อเดือนในปี 2562 และเพิ่มเป็น 12,018 บาทต่อคนต่อเดือนในปี 2564 หรือเพิ่มขึ้น 2.6% เท่านั้น และเมื่อพิจารณาเป็นรายภูมิภาค พบว่า ภาคใต้เป็นภูมิภาคที่มีปัญหาความยากจนสูงที่สุด 

 

โดยมีสัดส่วนคนจน 11.6% (จำนวนคนจน 1.1 ล้านคน) รองลงมาเป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร 

 

สำหรับความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ พิจารณาจากค่าสัมประสิทธิความไม่เสมอภาคจินีมีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตามจากผลกระทบของโควิด-19 ทำให้ในปี 2564 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 0.429 ในปี 2562 เป็น 0.430 

 

อย่างไรก็ตามหากพิจารณาเปรียบเทียบในกลุ่มภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก จากข้อมูลที่ปรากฏในฐานข้อมูลของธนาคารโลก พบว่า ไทยมีความเหลื่อมล้ำด้านรายได้สูงเป็นอันดับ 4 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก

 

ภาพประกอบข่าวนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

 

สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทย

 

เลขาธิการ สศช. กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2562 ขยายตัว 2.2% ชะลอตัวลงจาก 4.2% ในปีก่อนหน้า โดยเป็นผลมาจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก อันเนื่องมาจากมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลักโดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีน และในปี 2563 -2564 เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงเศรษฐกิจไทย 

 

ทั้งนี้รัฐบาลได้มีการดำเนินมาตรการเพื่อลดกระทบและเยียวยาผู้ที่ได้ผลกระทบจากการแพร่ระบาด อาทิ โครงการเราชนะ โครงการ ม. 33 เรารักกัน และโครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ 

 

รวมถึงการออกพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมฯ วงเงินไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท และพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ฯ เพิ่มเติม พ.ศ.2564 วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้แก่ประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรค 

 

รวมทั้งมาตรการต่างๆ ซึ่งมีส่วนสำคัญยิ่งในการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศให้ปรับตัวดีขึ้น และช่วงครึ่งหลังของปี 2564 สถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มลดระดับความรุนแรงลง มีการกระจายวัคซีนให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น 

 

ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2564 กลับมาขยายตัวที่ 1.5% ปรับตัวดีขึ้นจากการหดตัว 6.2% ในปี 2563 อัตราการว่างงานปรับลดลงมาอยู่ที่ 1.6% ในไตรมาสที่สุดท้ายของปี 2564 จาก 1.9% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

 

สำหรับเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ยังคงได้รับแรงส่งจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากปีก่อน ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องที่ 2.3% และ 2.5% ในไตรมาสแรกและไตรมาสที่สอง ตามลำดับ สอดคล้องกับการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน โดยอัตราการว่างงานในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 1.4% ต่ำสุดนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาด