MI GROUP เชื่ออุตสาหกรรมสื่อโฆษณากำลังจะกลับมา

26 ต.ค. 2565 | 11:32 น.

อุตสาหกรรมสื่อโฆษณากำลังจะกลับมา จากแรงส่งของการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกรวมถึงประเทศไทย ประกอบกับกำลังซื้อผู้บริโภคเริ่มขยับตัวสูงขึ้น MI GROUP คาดเม็ดเงินสื่อโฆษณาปีนี้ ปิดตัวเลขที่81,813 ล้านบาทเติบโต 7.4%

MI GROUP ประเมิณสิ้นปีนี้ เม็ดเงินสื่อโฆษณาเติบโตได้ถึง 7.4% คิดเป็นมูลค่ารวมที่ 81,813 ล้านบาท จากแรงหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกรวมถึงประเทศไทย ซึ่งส่งสัญญาณดีในหลากหลายอุตสาหกรรม และยังมองเห็นกระแสการเติบโตด้านกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เริ่มขยับตัวสูงขึ้น แบรนด์ต่างๆเริ่มทุ่มเงินกับโฆษณาส่งผลให้อุตสาหกรรมสื่อโฆษณากำลังจะกลับมา

MI GROUP เชื่ออุตสาหกรรมสื่อโฆษณากำลังจะกลับมา

Media Intelligence Group หรือ MI GROUP เตรียมรับมืออุตสาหกรรมสื่อโฆษณาฟื้นตัว ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่มุ่งสู่การเป็น “A Trusted Advisor” ด้วย “Solution Providers” ตอบโจทย์การทำงานร่วมกับลูกค้าได้แบบ Total Business Solution สร้างการสื่อสาร“ถูกคน-ถูกใจ-ถูกที่-ถูกเวลา”

 

นายภวัต เรืองเดชวรชัย, PRESIDENT & CEO, MI GROUP เปิดเผยว่า ความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาตั้งแต่เดือนมกราคม – กันยายน 2565 (อ้างอิงข้อมูลจาก Nielsen และ DAAT) มีตัวเลขการใช้สื่อโฆษณาคิดเป็นมูลค่ารวม 60,739 ล้านบาท เติบโตขึ้น 7.86% เมื่อเทียบกับปี 2564 ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยแบ่งเป็นสื่อ TV 24,864 ล้านบาท, Internet 19,816 ล้านบาท, Out of Home 7,593 ล้านบาท และสื่ออื่นๆ รวม 5,466 ล้านบาท (Cinema, Magazines, Newspapers และ Radio) 

นายภวัต เรืองเดชวรชัย, PRESIDENT & CEO, MI GROUP

“มูลค่ารวมการใช้สื่อจนถึงสิ้นปี 2565 คาดว่าจะจบปีที่ 81,813 ล้านบาท เติบโต 7.4% เมื่อเทียบกับปี 2565 แบ่งเป็นสื่อ TV 37,598 ล้านบาท, Internet 26,623 ล้านบาท, Out of Home 10,105 ล้านบาท, Radio 2,656 ล้านบาท, Cinema 2,462 ล้านบาท และอื่นๆ รวม 2,369 ล้านบาท (Newspapers และ Magazines) ส่วนในปี 2566 มีการประมาณการไว้ว่า มูลค่าการใช้สื่อจะเพิ่มขึ้นเป็น 85,220 เติบโตเพิ่มขึ้น 4.2% แบ่งเป็นสื่อ TV 44.6%, Internet 33.2% และ Out of Home 13.5% และสื่ออื่นๆ รวม 8.7%”

ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา MI GROUP เริ่มมีการปรับเปลี่ยนบทบาทตัวเองไปสู่จุดยืนใหม่ จากจุดแข็งเดิมที่เป็น Massive Scale Media Agency ที่มีจุดแข็งในเรื่องของทักษะการวางแผนกลยุทธ์สื่อออฟไลน์และออนไลน์ และราคาสื่อที่ดีที่สุด คุ้มค่าที่สุด เพื่อตอบโจทย์จิ๊กซอว์ของนักการตลาดและสื่อสารการตลาดได้อย่างตรงจุด 

 

“ปัจจุบัน Positioning ของ MI GROUP คือการเป็น Solution Providers ให้กับลูกค้า ไม่ใช่แค่ในมุมของการวางแผนกลยุทธ์สื่อและราคาสื่อ แต่เรายังเป็น Trusted Advisor ให้กับลูกค้าในมุมที่รอบด้านมากขึ้น เช่น การสื่อสารทางการตลาดในรูปแบบที่สอดคล้องกับภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนไปอย่างมาก (Changing Media Landscape) เช่น การทำ Branded Content, การทำ Affiliate Marketing กับ KOLs (Key Opinion Leaders หรือ Influencers), การเริ่มต้นจากการนับ1 ร่วมกันในการออกแบบ และการผลิต Contents ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายและลูกค้า (Advertisers) เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดกับทุกฝ่าย (Content Development & Content Ownership),  การช่วยหาข้อมูลในตลาดใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งในด้านการตลาด สื่อสารการตลาด และการกระจายสินค้า ( New Distribution Channel) เป็นต้น”

 

ที่ผ่านมา MI GROUP มองเห็นเทรนด์ของผู้ประกอบการแบรนด์ไทยที่ให้ความสำคัญกับการขยายตลาด และสื่อสารการตลาดไปยังตลาดในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในแถบ CLMV จึงเป็นเหตุผลให้ทาง MI GROUP เน้นการขยายตลาดต่างประเทศไปสู่กลุ่มประเทศ CLMV มาตั้งแต่ปี 2557 จากความต้องการในการขยายตลาดของลูกค้าไทยขนาดกลางและขนาดใหญ่ (Thai Entrepreneurs) 

 

“ในช่วงแรกเราโฟกัสโดยการไปเปิดสำนักงานของ MI GROUP ในกลุ่มประเทศ CLMV คือ กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม และเมียนมาร์ โดยขยายตลาดร่วมกับพาร์ทเนอร์ในประเทศนั้นๆ ซึ่งเมียนมาร์ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพ ส่งผลให้สำนักงานต่างประเทศที่เราเปิดดำเนินกิจการที่ย่างกุ้งสามารถสร้างรายได้ที่ดีที่สุดให้กับเราในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนมาหยุดชะงักในช่วงปี 2020-2021 ที่เกิดวิกฤต Covid-19 และรัฐประหารในเมียนมาร์ แต่เริ่มเห็นมีสัญญาณบวกและการฟื้นตัวมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2022 ที่ผ่านมา และเรามองเห็นความเคลื่อนไหวของลูกค้าไทยหลายราย เริ่มมีความต้องการที่จะกลับไปทำการตลาดและสื่อสารการตลาดในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศในแถบเซาท์อีสตเอเชียและมิดเดิลอีสต์ ซึ่ง MI GROUP ได้ทำหน้าที่เป็น Trusted Advisors ให้กับลูกค้าไทยกลุ่มนี้มาตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา และเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ตามสถานการณ์ตลาดที่กำลังคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ”

ด้านนายวิชิต คุณคงคาพันธ์ Head of International Business Development, MI GROUP
ด้านนายวิชิต คุณคงคาพันธ์ Head of International Business Development, MI GROUP เปิดเผยเพิ่มเติมว่า เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการรุกตลาดที่ MI GROUP ให้ความสำคัญกับการขยายตลาดต่างประเทศมากยิ่งขึ้น MI GROUP จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อหน่วยงานจาก Media Intelligence CLMV เป็น MI Bridge ควบคู่ไปกับการกำหนดนโยบายการทำตลาดต่างประเทศในเชิงรุก

 

เพื่อขยายการบริการให้ครอบคลุมสำหรับ Thai Brands ในตลาดต่างประเทศ และเป้าหมายต่อไป คือการเสริมความแข็งแกร่งของ MI Bridge ในแต่ละประเทศ เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไปยัง International Brands หรือแม้แต่ Local Brands ของประเทศนั้นๆ โดยต้องเสริมจุดแข็งเพื่อแข่งกับ Local Media Agencies ดังนั้นเป้าหมายต่อไปอาจเป็นการก่อตั้ง MI Vietnam, MI Cambodia เหมือนที่ได้ก่อตั้ง MI Myanmar มาแล้ว และที่ผ่านมา MI Myanmar ก็แข็งแกร่งพอที่จะรองรับความต้องการของ Thai Brands, International Brands และ Local Brands ในจำนวนมากได้

 

“สิ่งที่ถือเป็นเรื่องท้าทายมากที่สุด คือความแตกต่างทางวัฒนธรรมเพราะ Media Agency เป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยมนุษย์ สินค้าของเราคือคำแนะนำ คำปรึกษา แผนงาน และการดำเนินการที่มาจากความคิดของทีมงานที่แตกต่างกันทางวัฒนธรรม ค่านิยม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหน้าที่ของเรา คือต้องคิด ต้องคาดการณ์ล่วงหน้าถึงอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างทีมงานที่มีทั้งคนไทยและคนท้องถิ่น เพื่อให้ Operation หรือ Co-ordination ราบรื่นที่สุด และได้งานที่ออกมามีประสิทธิภาพสูงสุด” 


“แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนชื่อเป็น MI Bridge แต่ในแง่ของ Brand Positioning ของ MI Bridge ยังคงเหมือนเดิมคือความเป็น Trusted Advisor เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของเรา ภายใต้คอนเซ็ปต์ The Trusted Partner Delivering World-Class Services with True Local Insights โดยกลยุทธ์สำคัญที่จะทำให้ MI Bridge สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ โดยเฉพาะแบรนด์ไทยในระดับ Big Company มีอยู่ด้วยกัน 2 แนวทาง คือ 1) การเข้าร่วมสมาคมนักธุรกิจไทยในประเทศต่างๆ เพื่อเข้าไปแนะนำตัว พร้อมนำเสนอแนวคิดในเชิงสังสรรค์ การแชร์ความรู้ และข้อมูลทางธุรกิจต่างๆ เพื่อต่อยอดกันไปมา และ 2) สร้างผลงาน สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าปัจจุบัน เพื่อให้เกิดการบอกต่อ (Word of Mouth) กันโดยอัตโนมัติ

 

 ในส่วนของผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา MI GROUP มีการเติบโตทางด้านรายได้ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 15-20% เมื่อเทียบกับปี 2564 ในช่วงเวลาเดียวกัน เป็นผลจากความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็วของ MI GROUP ต่อสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงและผันผวนอยู่ตลอดเวลา โดยมุ่งเน้นการสร้างแหล่งรายได้ใหม่ๆ ที่เป็น New S-Curve เช่น Content Ownership Business, International Business Expansion ให้กับลูกค้าขนาดกลางและขนาดใหญ่ของไทย ควบคู่การพัฒนาทักษะของพนักงานอย่างต่อเนื่อง 


สำหรับสัดส่วนรายได้ของ MI Bridge ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 5% ของรายได้ทั้งหมด ถือว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้น โดยปีหน้า 2023 ทาง MI GROUP คาดว่า สัดส่วนรายได้จาก MI Bridge จะเพิ่มขึ้นเป็น 10% ของรายได้ทั้งหมด และ MI Bridge จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ลูกค้าไทยสามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจในตลาดต่างประเทศได้เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นความท้าทายสำหรับ MI Bridge เป็นอย่างมาก 

 

แม้ว่าผลการดำเนินงานจะมีการเติบโตทางด้านรายได้ 15 – 20% แต่ยังถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์กันไว้เมื่อช่วงต้นปี 2565 (หลังการได้รับวัคซีนของคนไทย และการทยอยเปิดประเทศในช่วงกลางปีที่ผ่านมา) เป็นผลมาจากปัจจัยลบต่างๆ ที่ทยอยเกิดขึ้นตลอดในช่วงไตรมาส 1 จนถึงไตรมาส 3 ของปีนี้ เช่น การระบาดระลอกใหม่ของ Covid-19 สายพันธุ์ Omicron ผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่นำไปสู่ต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่สูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ไปจนถึงอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังซบเซา เป็นต้น