ททท.เร่งดึงต่างชาติ ปั้นรายได้ท่องเที่ยว ปี2566 ติด Top 5 โลก

19 ก.ค. 2565 | 05:25 น.

การท่องเที่ยวของไทยอยู่ระหว่างพลิกฟื้น ส่งผลให้ททท.ได้วางทิศทางส่งเสริมท่องเที่ยวปีหน้า โดยวางตำแหน่งทางการตลาด ให้ในปี 2566 ไทยติดอันดับประเทศที่มีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศสูงสุด 1 ใน 5 ของโลก การสร้างรายได้ในปีหน้าจาก 3 ซีนาริโอ

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เผยว่า ปัจจุบันไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาแล้ว 2.7 ล้านคน ตลอดปีนี้น่าจะมีไม่ตํ่ากว่า 10 ล้านคน ส่วนตลาดท่องเที่ยวภายในประเทศ อาจต้องดูสถานการณ์ก่อน แต่โดยรวมน่าจะใกล้เคียงกับเป้าหมายการสร้างรายได้ปีนี้ที่ 1.5 ล้านล้านบาท

 

ยุทธศักดิ์ สุภสร

 

การทำงานของททท.ในปี2566 จะมุ่งพลิกฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสู่หมุดหมายการท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นคุณค่าและความยั่งยืน โดยมุ่งยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยว เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมในทุกมิติ โดยนอกจากการทำตลาดที่เน้นสร้างประสบการณ์การเดินทางที่มีความหมายและทรงคุณค่าให้กับนักท่องเที่ยว (Meaningful Travel) แล้ว ททท.จะไม่ใช่แค่ทำแต่เฉพาะงานด้านการตลาดเท่านั้น

แต่ยังจะเพิ่มบทบาทในการต่อยอดพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน หรือด้านซัพพลาย โดยบูรณาการความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับทุกภาคส่วนในอุตสาห กรรมท่องเที่ยวไทย เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงการปรับมาตรฐานต่างๆ ให้เกิดความสมดุลรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยว

 

สำหรับเป้าหมายการทำงานของททท.ในปี2566 เราวางเป้าหมายตำแหน่งทางการตลาด ที่จะทำให้ไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก จากก่อนเกิดโควิด ที่ไทยอยู่ในอันดับ 4 ของโลก 

 

ทั้งยังไว้วางเป้าหมายเชิงเศรษฐกิจในปี 2566 ไว้ใน 3 ซีนาริโอ โดยคาดว่าจะมีรายได้จากนักท่องเที่ยวทั้งเที่ยวในประเทศและต่างชาติเที่ยวไทยอยู่ที่ระหว่าง 1.25-2.38 ล้านล้านบาท

 

  • กรณีที่เลวร้ายสุด (Worst-Case) อยู่ที่ 1.25 ล้านล้านบาท

 

  • กรณีฐาน (Base Case) 1.73 ล้านล้านบาท

 

  • กรณีดีที่สุด (Best Case) อยู่ที่ 2.38 ล้านล้านบาท

โดยใน2566 ททท.ประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย

 

  • กรณีที่เลวร้ายสุด 11 ล้านคน สร้างรายได้ 5.8 แสนล้านบาท

 

  • กรณีฐาน (Base Case) 18 ล้านคน สร้างรายได้ 9.7 แสนล้านบาท

 

  • กรณีดีที่สุด 30 ล้านคน สร้างรายได้ 1.50 ล้านล้านบาท ซึ่งในกรณีดีที่สุด คือ การที่นักท่องเที่ยวจีนสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้

 

ตลาดในประเทศ หรือ ไทยเที่ยวไทย ปี2566

 

  • กรณีเลวร้ายสุด 117 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 6.7 แสนล้านบาท

 

  • กรณีฐาน 130 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 7.6 แสนล้านบาท

 

  • กรณีดีที่สุด 135 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 8.8 แสนล้านบาท

 

ททท.เร่งดึงต่างชาติ ปั้นรายได้ท่องเที่ยว ปี2566 ติด Top 5 โลก

 

“ดังนั้นเบื้องต้น ททท.จึงตั้งเป้าการท่องเที่ยวในปี2566โดยยึด กรณีฐาน (Base Case) ดึงจำนวนนักท่องเที่ยวกลับมาได้ราว 50% ของปี 62 และมีรายได้จากการท่องเที่ยวกลับมาได้ 80% ของปี 62 ซึ่งจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมทั้งสิ้น 1.73 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากต่างประเทศ 970,000 ล้านบาท และรายได้หมุนเวียนจากตลาดคนไทย 760,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี 67 จะกลับมาได้ไม่น้อยกว่าปี 62 ขณะที่ภายใต้สถานการณ์ท่องเที่ยวที่เอื้ออำนวยในทุกด้าน (Best Case Scenario) คาดว่าจะมีรายได้รวมอยู่ที่ 2.38 ล้านล้านบาท ประกอบด้วยสัดส่วนของรายได้จากตลาดต่างประเทศ 1.5 ล้านล้านบาท และตลาดในประเทศ 880,000 ล้านบาท”

 

ในปีหน้าแม้จะมีปัจจัยเรื่องของเงินเฟ้อ ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นปัจจัยลบสำหรับตลาดต่างประเทศ และพายุเศรษฐกิจสำหรับตลาดในประเทศ แต่ททท.ก็จะต้องเดินหน้าต่อในการชูกลยุทธ Meaningful Travel ในการดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยหลังโควิด-19 ทำให้การเดินทางครั้งใหม่ของนักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ที่มีค่า ได้ค้นพบตัวเอง หรือ ชวนมา REUNION ที่เมืองไทย  ทำให้เขารู้สึกคุ้มค่าในการเดินทางมาเที่ยวท่ามกลางปัจจัยลบต่างๆ ที่มี

 

ส่วนทิศทางการทำตลาดต่างประเทศ ททท.จะกำหนดเซ็กเม้นท์ และกำหนดพื้นที่เสนอขาย ในละภูมิภาคอย่างชัดเจน โดยในภูมิภาคยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง  จะเน้นเจาะเซ็กเม้นท์ในกลุ่มลักชัวรี(LGBTQ และฮันนีมูน) กลุ่มครอบครัว กลุ่มมิลเล็นเนียน กลุ่มรีไทร์ โดยเสนอขายพื้นที่กรุงเทพ ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี กระบี่ พังงา สุราษฎร์ธานี ตราด เชียงราย ขณะที่ภูมิภาคอเมริกาจะเน้นเซ็กเม้นท์ กลุ่มมิลเล็นเนียน กลุ่มลักชัวรี (LGBTQ) เสนอขายพื้นที่กรุงเทพ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน กระบี่ พังงา ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี พระนครศรีอยุธยา

 

ด้านภูมิภาคเอเชียตะวันออก เจาะเซ็กเม้นท์ผู้สูงวัย กลุ่มดิจิทัลโนแมด ซึ่งนอกจากขายกรุงเทพ เชียงใหม่ ภูเก็ต หัวหิน ก็จะขายพื้นที่เชื่อมโยงเชียงใหม่+ลำพูน+แม่ฮ่องสอน ภูเก็ต+กระบี่+พังงา ชลบุรี+ระยอง+ตราด ภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้ และโอเชียเนีย รุกเซ็กเม้นท์ งานแต่งงาน กลุ่มครอบครัว กลุ่มมุสลิม เสนอขาย กรุงเทพ พัทยา เขาใหญ่ หัวหิน เชียงใหม่ สระแก้ว หนองคาย เป็นต้น

 

ททท.เร่งดึงต่างชาติ ปั้นรายได้ท่องเที่ยว ปี2566 ติด Top 5 โลก

 

ทั้งนี้ททท.จะมุ่งกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวตลอดทั้งปี ไม่ใช่แค่มีช่วงโลว์ซีซันและไฮซีซั่นเหมือนที่ผ่านมา อาทิ การเปิดตลาดเชิงพื้นที่ใหม่ๆ เช่น ซาอุดีอาระเบีย การขยายพื้นที่เมืองรองในตลาดเดิม อาทิ พอร์ตแลนด์, เซาท์เบนด์ สหรัฐอเมริกา

 

ขณะที่ทำตลาดระยะใกล้ หรือภูมิภาคเอเชีย เรายังไม่ได้มองนักท่องเที่ยวจีน  แต่เน้นฟื้นตลาดกลุ่มกระแสหลักคุณภาพ  อย่าง อินเดีย อาเซียน เน้นเพิ่มโอกาสการเดินทงเข้าไทยทั้งบกนํ้าอากาศ โดยทางอากาศ ตั้งเป้าเพิ่มที่นั่งบนเครื่องบินกลับเข้าไทย 80% ของปี 62 รวมไปถึงการพลิกโฉมเปลี่ยนมุมมอง สร้างภาพจำใหม่ให้ไทยผ่านการนำเสนอความใหม่ใน 5 รูปแบบ ได้แก่

 

  • New Segment เจาะกลุ่มตลาดศักยภาพกลุ่มใหม่ๆ ที่มีแนวโน้มเติบโต

 

  • New Area เจาะพื้นที่ตลาดใหม่

 

  • New Partner ร่วมมือกับคู่ค้าพันธมิตรรายใหม่ 

 

  • New Infrastructure ใช้ ประโยชน์จากการคมนาคมรูปแบบใหม่ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว 

 

  • New Way ที่จะนำเสนอการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่ชูเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยกิจกรรมที่จับต้องได้

 

ในด้านตลาดในประเทศ จะเน้นส่งเสริมให้คนไทยเดินทางเที่ยวทุกวัน หรือ 365 มหัศจรรย์เมืองไทยเที่ยวได้ทุกวัน ที่จะกำหนดธีมการท่องเที่ยวในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นสาย ไหนๆ สายมู สายกิน สายเที่ยว ที่จะมีการนำเสนอเมนูประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวทั้ง 5 ภาค

 

ททท.เร่งดึงต่างชาติ ปั้นรายได้ท่องเที่ยว ปี2566 ติด Top 5 โลก

 

โดยนำเสนออัตลักษณ์และสิ่งที่น่าสนใจ ได้แก่ เที่ยวไทย 5 ภาค Amazing ยิ่งกว่าเดิม ภาคเหนือ : เสน่ห์วันวานเมืองเหนือ ภาคอีสาน : หลงรักแผ่นดินถิ่นอีสาน ภาคตะวันออก : สบ๊ายสบายภาคตะวันออก ภาคใต้ : หรอยแรงแหล่งใต้ ภาคกลาง : เทรนดี้ C 2 ภาคกลาง และนำเสนอเมนูเปิดประสบการณ์ใหม่เมืองรองในแต่ละภาค เน้นสื่อสารให้เห็นถึงโอกาสที่ต้องเสียไปกับการใช้ชีวิตใต้หน้ากาก ให้คนไทยกลับมาเดินทางครั้งใหม่ ภายใต้แนวคิดการสื่อสารตลาดในปีหน้า “โมเมนต์ที่ใช่สร้างได้ไม่ต้องรอ”