20สมาคมท่องเที่ยวร้องนายกชงศบค.23ก.พ.นี้ลดข้อจำกัดเดินทางเข้าไทย

17 ก.พ. 2565 | 08:29 น.

20สมาคมท่องเที่ยวชง4มาตรการร้องนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ ผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าไทย ยกเลิกการตรวจRt-Pcrครั้งที่2 ปรับลดกักตัว ยกเลิกมาตรการกักตัวผู้สัมผัสเสี่ยงรวมถึงลดวงเงินประกันการเดินทาง รอลุ้นประชุมศบค.ชุดใหญ่23ก.พ.นี้ อ้างหลายประเทศคลายล็อกดาวน์

นายภูมิกิตติ์ รักแต่งาม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2565 สมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยวรวมกว่า20สมาคม ได้ทำหนังสือยื่นถึงนายกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เพื่อขอให้ผ่อนคลายมาตรการการเข้าประเทศ โดยระบุว่า

 

จากที่ศบค.ได้มีมติผ่อนคลายการเข้าประเทศในรูปแบบ Test & Go ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565ที่ผ่านมา ภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวขอชื่นชมในการตัดสินใจที่จะเดินหน้าเปิดประเทศในครั้งนี้ทำให้ประเทศไทยยังเป็นผู้นำอันดับต้นๆทางด้านการท่องเที่ยวของเอเชีย

 

ภูมิกิตต์  รักแต่งาม

จากสถิติการเดินทางเข้าประเทศพบว่าในตั้งแต่วันที่ 1-13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีผู้เดินทางเข้าประเทศแล้วกว่า 78,793 ราย พบว่าในวันที่ 5 ที่มีการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ครั้งที่ 2 นักท่องเที่ยวได้เข้าพักในโรงแรมกระจายไปเกือบทุกจังหวัดของประเทศไทย เป็นสัญญาณที่ดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และพลิกฟื้นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

 

นอกจากนี้ยังพบว่าอัตราการติดเชื้อของผู้เดินทางเข้ามาจากต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำและสามารถบริหารจัดการได้ ตัวอย่างเช่นตั้งแต่วันที่ 1-13 กุมภาพันธ์ จังหวัดภูเก็ตพบผู้ติดเชื้อจากนอกประเทศคิดเป็นร้อยละ 2.84 

 

โดยแยกเป็นผลบวกจากการตรวจครั้งที่ 1 ร้อยละ 2.17 และผลบวกจากการตรวจครั้งที่ 2 ร้อยละ 3.56 ซึ่งนักท่องเที่ยวทั้งหมดเป็นผู้ป่วยสีเขียว ซึ่งร้อยละ 56 ของผู้ติดเชื้อได้เข้ากักตัวในรูปแบบ Hotel Room Isolation อีกร้อยละ 11 เป็นผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อนโดยมีเอกสารยืนยันมาแสดง ร้อยละ 6 เข้ากักตัวในHospitel หรือโรงพยาบาล และที่เหลือเป็นผู้ที่เดินทางออกนอกประเทศไปแล้วหรือรอดำเนินการ 

ทั้งนี้ผู้เดินทางทั้งหมดเป็นผู้ป่วยไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย และไม่ต้องการการดูแลจากแพทย์ ภาคเอกชนพบว่าสถานการณ์การระบาดในปัจจุบันถึงแม้จะมีอัตราผู้ติดเชื้อที่สูงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ แต่ผู้ป่วยเหล่านี้ไม่ได้สร้างภาระหรือกดดันระบบสาธารณสุขแต่เพียงอย่างใด และพบอัตราการตายที่ต่ำมากซึ่งใกล้เคียงกับการป่วยเป็นโรคหวัด

 

ยิ่งไปกว่านั้นหลายประเทศในโลกโดยเฉพาะประเทศในทวีปยุโรปซึ่งเป็นตลาดหลักในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวได้ประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น เช่น ประเทศสวีเดน เดนมาร์ก นอร์เวย์ อังกฤษ และสวิตเซอร์แลนด์ ได้ยกเลิกมาตรการควบคุมโควิด-19เกือบทั้งหมด เช่น ยกเลิกการตรวจ RT-PCR ยกเลิกการกักตัว เป็นต้น และประเทศในเอเชียแปซิฟิกได้ทยอยปรับมาตรการการเดินทางเข้า อาทิเช่น

 

  • ประเทศฟิลิปปินส์ได้ยกเลิกการตรวจโควิดเมื่อเดินทางมาถึงตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์คงเหลือเพียงแต่การแสดงเอกสารการฉีดวัคนและการตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทาง 48ชั่วโมง

 

  • ประเทศกัมพูชาได้ปรับการตรวจที่สนามบินเป็นการตรวจด้วย ATK สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วและต้องแสดงเอกสารการฉีดวัคชีนครบโดสและการตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทาง 72 ชั่วโมง

 

  • ประเทศออสเตรเลีย ได้ยกเลิกมาตรการการกักตัว โดยตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ทุกคนที่ได้รับวัคชื่นครบสามารถดินทางสามารถเดินทางเข้าประเทศได้โดยแสดงเอกสารการตรวจRT-PCR เป็นลบ 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง

 

นอกจากนี้ประเทศต่างๆที่เป็นคู่แข่งด้านการท่องเที่ยว เช่นประเทศเวียดนามและญี่ปุ่นก็เตรียมประกาศยกเลิกมาตรการการเดินทางในเดือนเมษายนนี้

 

การผ่อนคลายมาตรการเหล่านี้ของประเทศต่างๆทำให้ประเทศไทยเริ่มสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวบนเวทีโลก กล่าวคือ นักท่องเที่ยวจะเลือกเดินทางไปยังประเทศที่ไม่มีมาตรการใดๆมากกว่าการเดินทางมาประเทศไทย

 

 

ดังนั้นเมื่อวิเคราะห์จากปัจจัยเบื้องต้นภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวจึงเรียนมาเพื่อขอให้ศบค.พิจารณามาตรการการเดินทางเข้าประเทศในระยะเวลาที่เหลือของเดือนกุมภาพันธ์ขอให้พิจารณาผ่อนคลายมาตรการดังต่อไปนี้

 

1. งดการตรวจ RT-PCR ครั้งที่ 2 ในวันที่ 5 เนื่องจากอัตราการติดเชื้อของนักท่องเที่ยวใน
วันที่ 5 น้อยกว่าการติดเชื้อในท้องถิ่น ณ ปัจจุบัน และเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายให้แก่
นักท่องเที่ยว

 

2. ปรับลดการกักตัวของผู้ติดเชื้อเหลือ จากเดิม 10 วัน ให้เหลือเพียง 5 วัน

 

3. ยกเลิกมาตรการกักตัวผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่หากตรวจหาเชื้อแล้วเป็นลบในวันแรก

 

4. ปรับลดวงเงินประกันการเดินทาง จาก USD50,000 ให้เหลือ USD25,000ในเดือนมีนาคมขอให้พิจารณาประกาศให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น ตามแนวทางที่ประเทศต่างๆในโลกได้เริ่มดำเนินการ และยกเลิกมาตรการคัดกรองการเดินทางเข้าประเทศ อาทิ การขอ Thailand Pass และการตรวจ
RT-PCR  ครั้งที่หนึ่ง เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาประเทศไทยได้อย่างสะดวก และเพิ่มปริมาณนักท่องเที่ยวให้ใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิดมากที่สุด

 

นอกจากนี้เดือนเมษายนที่จะมาถึงเป็นเดือนสำคัญของการท่องเที่ยวของโลก เนื่องจากจะมีเทศกาลอีสเตอร์ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติจะนิยมเดินทางพักผ่อนในช่วงวันหยุดเทศกาลนี้ ประกอบกับเป็นเดือนมงคลของไทยที่จะมีเทศกาลสงกรานต์ และเป็นโค้งสุดท้ายของฤดูกาลท่องเที่ยว 

ภาคเอกชนจึงขอให้รัฐบาลพิจารณา
จัดทำแผนการตลาดเพื่อเปิดประเทศเต็มรูปแบบอย่างยิ่งใหญ่เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดและพื้นที่สื่อโดยขอให้ทางรัฐบาลทำการสื่อสารล่วงหน้าเพื่อให้บริษัทนำเที่ยวในประเทศต่างๆจัดทำโปรแกรมกระตุ้นการ
ขาย และเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้เลือกเดินทางมาพักผ่อนที่ประเทศไทยเพื่อให้เรายังยืนหยัดเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวของโลก


ภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวขอสนับสนุนให้ท่านเดินหน้ายกเลิกมาตรการการเดินทางเข้าประเทศและพิจารณาประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นเพื่อให้คนไทยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้แบบปกติในเร็ววัน

20สมาคมท่องเที่ยวร้องนายกชงศบค.23ก.พ.นี้ลดข้อจำกัดเดินทางเข้าไทย 20สมาคมท่องเที่ยวร้องนายกชงศบค.23ก.พ.นี้ลดข้อจำกัดเดินทางเข้าไทย 20สมาคมท่องเที่ยวร้องนายกชงศบค.23ก.พ.นี้ลดข้อจำกัดเดินทางเข้าไทย 20สมาคมท่องเที่ยวร้องนายกชงศบค.23ก.พ.นี้ลดข้อจำกัดเดินทางเข้าไทย

 

 

ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)กล่าวว่าในการประชุมศบค.ชุดใหญ่ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในวันที่23กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งจะมีการหารือถึงการปรับเปลี่ยนมาตรการประเทศเดินทางเข้าไทย เนื่องจากภาคเอกชนได้ขอให้ศบค.ผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าไทยโดยการยกเลิกการตรวจrt-pcrครั้งที่2ของผู้ที่เดินทางเข้าไทย

 

ทั้งนี้ทางศบค.ชุดใหญ่ก็คงต้องพิจารณาเพราะวันนี้ไทยมียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่1.7หมื่นคน และต้องพิจารณาควบคู่กับความรุนแรงของโควิดและการฉีดวัคซีนที่ก้าวไปไกลแล้ว รวมถึงหลายประเทศในปัจจุบันนี้ก็มีการยกเลิกข้อจำกัดในการเดินทางถ้าไทยลดข้อจำกัดในการเดินทางเข้าประเทศลง ก็จะทำให้ททท.น่าจะดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้ราว10ล้านคน