ปณท. หนุน“การแพทย์ทางไกล” เตรียมใช้โดรน จัดส่งยาและเวชภัณฑ์

29 ธ.ค. 2564 | 09:52 น.

ไปรษณีย์ไทย ขานรับยุคการแพทย์ทางไกล เร่งอัพโซลูชันการจัดส่งยาและเวชภัณฑ์จากโรงพยาบาลกว่า 400แห่งทั่วประเทศให้กับผู้ป่วย พร้อมพัฒนาระบบเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับหรือโดรน มาทดลองการจัดส่งยาและเวชภัณฑ์ในพื้นที่ห่างไกลและเข้าถึงยากคาดใช้งานได้จริงในปี 2565

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบัน คนไทยเริ่มคุ้นชินกับการใช้บริการแพทย์ทางไกล (Telehealth/ Telemedicine) และบริการรับยาและเวชภัณฑ์ทางไปรษณีย์ ซึ่งเป็นการปรับตัวให้สอดรับตามสถานการณ์โรคโควิด-19 โดยบริการนี้ช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล ช่วยลดระยะเวลา ลดความเสี่ยงจากการสัมผัส รวมถึงลดความแออัดในโรงพยาบาล ตลอดจนยังเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์และโรงพยาบาลที่ต้องปฏิบัติภารกิจภายใต้สถานการณ์การระบาดของเชื้อ และการรักษาผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก

 

“จากการให้บริการที่ใกล้ชิดกับประชาชนของเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ไทย เราไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่การขนส่งสิ่งของ แต่ยังให้ความสำคัญกับชีวิตและสุขภาพของคนไทยในภาวะที่ทุกคนยังต้องเผชิญกับโรคโควิด-19 ซึ่งไปรษณีย์ไทยก็ไม่หยุดการทำหน้าที่ในการเป็นตัวกลางส่งต่อสุขภาพดี ไม่ว่าจะเป็น ยา เวชภัณฑ์ สิ่งของจำเป็น อาทิ เตียงสนาม รวมทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นต้องรักษาอุณหภูมิอย่างน้ำยาล้างไต และกระดาษซับเลือดสำหรับทารกแรกเกิดจากโรงพยาบาลกว่า 400 แห่งถึงผู้ใช้บริการทั่วประเทศ รวมทั้งผู้ป่วย โควิด-19 ในโครงการ Home Isolation-Community Isolation โดยในปี 2564 มียอดรวมปริมาณการขนส่งมากกว่าหนึ่งล้านชิ้น ซึ่งบุรุษไปรษณีย์ทุกคนทำหน้าที่ด้วยหัวใจ เพราะทุกคนตระหนักดีว่าในการส่งยาและเวชภัณฑ์ให้แก่ผู้รับปลายทาง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ป่วยทั่วประเทศ

โดยนอกจากจะส่งด่วนด้วยบริการ EMS แล้ว ไปรษณีย์ไทยยังได้นำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้พัฒนาการให้บริการให้มีความเหมาะสมกับประเภทของสิ่งของและพื้นที่ที่จัดส่ง ซึ่งปัจจุบันไปรษณีย์ไทยอยู่ระหว่างศึกษาและพัฒนาการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาทดลองให้บริการจัดส่งยาและเวชภัณฑ์ผ่านอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรนในพื้นที่ห่างไกลและเข้าถึงยาก เพื่อเป็นการพัฒนา – ต่อยอดบริการด้านสาธารณสุขและยกระดับการให้ บริการให้สามารถจัดส่งยาให้กับผู้รับปลายทางได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางออกจากบ้าน ซึ่งคาดว่าในปี 2565 จะได้นำร่องโครงการต้นแบบในการให้บริการต่อไป”