สมูท อี ประเดิมตลาดกัญชง แจ้งเกิดผลิตภัณฑ์บำรุงผิว CBD

01 ธ.ค. 2564 | 01:20 น.

สมูท อี ถือฤกษ์ดีครบรอบ 29 ปีเปิดตัวผลิตภัณฑ์บำรุงผิว CBD สารสกัดจากพืชกัญชงรายแรกของไทย ตอกย้ำแบรนด์เวชสำอางจากธรรมชาติ ปักหมุดจำหน่ายในร้านขายยาและช่องทางออนไลน์ พร้อมส่งออกตีตลาด South East Asia และทั่วโลก

สมูท อี  ตั้งเป้าหมายสู่การเป็น Global Brand ประเดิมบุกตลาดกัญชงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ดูแลผิว CBD (Cannabidiol) ทั้งรูปแบบเซรั่ม  และครีม ขยายตลาด South East Asia โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น หนุนการเติบโตแบบ Challenge  30% ในปี 2565

 

นายศิวกร พิทยานุกุล ผู้บริหารด้านแบรนด์และการสื่อสาร บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่าตลอด 29 ปีที่ผ่านมา แบรนด์สมูท อี ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคว่าเป็นผลิตภัณฑ์เวชสำอางจากธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูงในการแก้ปัญหาผิว (รอยแผลเป็นและสิว) ด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่คิดค้นมาเพื่อตอบสนองเรื่องความงามและสุขภาพด้านผิวพรรณที่ดีของผู้บริโภค โดยมีแพทย์ทางด้านผิวหนังเป็นที่ปรึกษาและร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์มาโดยตลอด ส่งผลให้ สมูท อี เป็นแบรนด์ที่แข็งแรงมั่นคง และครองตำแหน่งยอดขายอันดับหนึ่งในร้านขายยาทั่วประเทศมาอย่างยาวนาน

ล่าสุด สมูท อี ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ดูแลผิว CBD (Cannabidiol) ซึ่งเป็นหนึ่งในสารพฤกษเคมี ที่สกัดได้จากพืชกัญชง โดยสมูท อี ถือเป็นแบรนด์เวชสำอางรายแรกของไทยที่มีการประยุกต์ใช้สารสกัดจากพืชกัญชงเพื่อการดูแลผิว

 

 โดยผลิตภัณฑ์ CBD ของสมูท อี มีทั้งรูปแบบเซรั่ม  และครีม ซึ่งปัจจุบันได้มีวางจำหน่ายแล้วตามร้านขายยาและช่องทางออนไลน์ รวมถึงจะมีการส่งออกไปขายในตลาด South East Asia และทั่วโลกอีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่ อาทิ Cica ครีมเซรั่มสำหรับบำรุงและฟื้นฟูผิวแพ้ง่ายและเป็นสิวง่าย, Melatonin Sleep Lotion โลชั่นบำรุงผิวระหว่างเวลาพักผ่อนนอนหลับ และสมูท อี 2 in 1 Mask and Wash

ในปีนี้ สมูท อี ยังสามารถรักษายอดขายได้ดีแม้ในช่วงสถานการณ์ Covid และได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากแบรนด์สมูท อี มีความเป็นเวชสำอางไม่ใช่ Beauty ผู้บริโภคจึงมีความเชื่อมั่นในการใช้ผลิตภัณฑ์สมูท อี ว่ามีคุณภาพปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ ใช้แล้วเห็นผลจริง โดยแบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายในประเทศอยู่ที่ 80% และต่างประเทศ 20%

 

ซึ่งปัจจุบัน สมูท อี มีจำหน่ายใน 10 กว่าประเทศ สำหรับในปี 2565 บริษัทฯ มุ่งเน้นขยายตลาดไปใน South East Asia โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็น Global Brand พร้อมตั้งเป้าการเติบโตแบบ Challenge ไว้ที่ประมาณ 30% ในปีหน้า

 

โดยมี 3 ปัจจัยหลักที่จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายคือ 1. จากนวัตกรรมในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ 2. ช่องทางการจำหน่ายผ่านทางออนไลน์และร้านขายยา และ 3. การทำการตลาดต่างประเทศ

 

นอกจากช่องทางการจัดจำหน่ายหลักของสมูท อี ในห้างสรรพสินค้าและร้านขายยาทั่วประเทศแล้ว บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับช่องทางการจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์ม “ออนไลน์”เพื่อตอบรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่นิยมการช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น โดยลูกค้าสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้ผ่านทางเว็บไซต์ Lazada, Shopee, Konvy รวมถึง https://smooth-e.com/ และทางเพจ Facebook : Smooth-E Thailand

 

พร้อมใช้กลยุทธ์ CRM เพื่อต่อยอดและรักษาฐานลูกค้าของสมูท อี ด้วยการจัดกิจกรรมฉลองครบรอบ 29 ปี มอบผลิตภัณฑ์สมูท อี เป็นของขวัญให้กับแฟนพันธุ์แท้ที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์และบอกเล่าความประทับใจที่มีต่อผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังเปิด “Smooth E Baby Face Club Thailand” ให้คำปรึกษาไขทุกปัญหาเรื่องผิว โดยแพทย์ที่ปรึกษาด้านความงามและผิวพรรณของสมูท อี เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า Gen Y และ Gen Z อีกด้วย

 

“สำหรับภาพรวมตลาด Skin Care ในประเทศพบว่า ในแต่ละปีที่ผ่านมาตลาดความงามของไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 6-9% แต่เพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้มีการล็อกดาวน์ประเทศ การชะลอตัวด้านเศรษฐกิจ ความกังวลด้านต่าง ๆ รวมถึงการใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตัวเองเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลให้ตลาดความงามเปลี่ยนไป

 

โดยสินค้ากลุ่ม Personal & Beauty Care นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 อยู่ในสภาวะติดลบ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในช่วงปี 2562 ตลาดสินค้าการดูแลส่วนบุคคลและความงามที่ติดลบเนื่องจากได้รับผลกระทบมาจากผู้บริโภคใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านน้อยลง และทำให้เกิดการใช้สินค้าและความถี่ในการซื้อสินค้ากลุ่มนี้ที่ลดลงตามมา

 

ส่วนแนวโน้มในปีหน้า คาดว่าสินค้ากลุ่มนี้ จะกลับมาเติบโตอีกครั้ง เพราะช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ การค้าขายเริ่มฟื้นตัวจากการเปิดประเทศ ผู้บริโภคเริ่มมีการใช้จ่ายเงินมากขึ้น หลังจากที่อัดอั้นการใช้จ่ายมานาน และแต่ละแบรนด์เริ่มกลับมาใช้งบประมาณในการทำโฆษณาและประชาสัมพันธ์มากขึ้น จึงทำให้ตลาด Personal & Beauty Care เริ่มปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ”