อินเด็กซ์ฯ ชี้ทิศทางอีเว้นท์ฟื้นปี 68 ปลื้มไทยแลนด์ พาวิลเลียน ดูไบ รั้ง Top 3

ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบหนักต่อธุรกิจอีเว้นท์ในเมืองไทย แต่สำหรับ “อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ” ครีเอทีฟ อีเว้นท์ อันดับ 7 ของโลก จากการจัดอันดับโดยนิตยสารสเปเชี่ยลอีเว้นท์ แม็กกาซีน ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่คว้าสิทธิการบริหารอาคารแสดงประเทศไทยหรือ Thailand Pavilion ในงาน “เวิลด์ เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ" (World Expo 2020 Dubai) งานนิทรรศการนานาชาติระดับโลก ณ นครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2564-31 มี.ค. 2565 ถือเป็นบิ๊กอีเว้นท์ที่สร้างทั้งชื่อและเม็ดเงินให้ธุรกิจฟื้นตัวกลับมา

นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ความสำเร็จของงาน World Expo 2020 Dubai ถือเป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทย ที่สามารถสร้างชื่อให้คนทั่วโลกรู้จัก ซึ่งวันนี้ไทยแลนด์ พาวิลเลียน ได้รับการยอมรับจากผู้เข้าชม และถูกจัดให้อยู่อันดับ 3 พาวิลเลียน ที่ต้องเข้าชม รองจากเจ้าภาพสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดิอาระเบีย ซึ่งมีพื้นที่พาวิลเลียนใหญ่และใช้เงินลงทุนจำนวนมาก

ด้วยจุดเด่นของการนำเสนอคอนเทนต์ ทั้งเนื้อหา และวิธีการนำเสนอ รวมถึงกิจกรรมต่างๆ สามารถดึงดูดให้ผู้เข้าชมได้มากขึ้น 9,000-10,000 คนต่อวัน หรือคิดเป็น 14-15% ของจำนวนผู้เข้าชมทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้คือ 7% โดยในทุกเดือนจะมีกิจกรรมที่นำเสนอและสร้างจุดเด่นให้กับไทยแลนด์ พาวิลเลียน โดยในเดือนต.ค. มีโชว์ใหญ่ 3 โชว์ ที่จัดแสดงทุกวัน

ส่วนเดือนพ.ย. จะมีอีก 2 โชว์ ได้แก่ ไทย ฟู้ด เฟสติวัล และลอยกระทง ซึ่งภายในงานจะมีกิจกรรมแตกต่างกันไปทั้งการทำอาหารของเชฟไทยในยูเออี และการประกวดนางนพมาศ เป็นต้นส่วนในเดือนธ.ค. จะมีการจัดงานวันชาติไทย ที่จะเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับยูเออีด้วย

รวมทั้งยังมีกิจกรรมที่แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับประเทศอื่นๆ ที่ร่วมในงานแสดงสินค้า ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางดนตรี อาหาร เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากประเทศต่างๆ รวมถึงผู้เข้าชมจำนวนมากด้วย

นอกจากงาน World Expo 2020 Dubai แล้ว ในประเทศไทยเอง ยังมีอีเว้นท์อื่นๆ ที่อินเด็กซ์ฯ พร้อมดำเนินการ แม้ภาพรวมของศบค. จะยังมีมาตรการอื่นๆ เพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19 แต่ด้วยแนวโน้มการฉีดวัคซีนที่มากขึ้น และมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจต่างๆ ทำให้บริษัทต้องเตรียมแผนรองรับการจัดกิจกรรมต่างๆ

โดยบริษัทเดินหน้างานในกลุ่มธุรกิจ Own Project โดยเป็นการครีเอทงานขึ้นเอง เพื่อสร้างมูลค่า และเพิ่มโอกาสด้านการตลาด ให้เข้าถึงทุกกลุ่มเซกเม้นท์เชิงลึก โดยลงทุนทุ่มกว่า 40 ล้านบาทสร้างสรรค์งานเฟสติวัลและกิจกรรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปหลังจากโควิด-19

อุตสาหกรรมอีเว้นท์และท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มากที่สุด เรียกว่าพินาศเลยก็ได้ แต่โควิดก็ทำให้อินเด็กซ์ฯ ปรับตัว และความโชคดีคือเราปรับได้เร็ว เพราะเราเป็นฟาสต์มูฟเวอร์ ดังนั้นทันทีที่รัฐบาลเปิดประเทศ ก็จะเห็นงานต่างๆ ของอินเด็กซ์ เกิดขึ้นได้ทันที

ไม่ว่าจะเป็นการเปิดศูนย์รวมอีเว้นท์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ณ เมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการ ที่อินเด็กซ์ฯเองได้เข้าไปบริหารจัดการพื้นที่และได้มีการเติม creativity เข้าไปผสมผสานกับสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของไทยโบราณ เป็นการเปิดมุมมองใหม่ในการเที่ยว ที่มีทั้งลานกิจกรรม (Activities) และอีเว้นท์ (event) ในส่วนของกิจกรรมมีทั้งลานกิจกรรมบนบกและในน้ำ การเปิดลานสเก็ตรูปแบบใหม่ พร้อมกราฟฟิตี้ที่เป็นลวดลายของคลื่นซัด

และกิจกรรมพายเรือคายัค หรือซับบอร์ด การวิ่ง 5 กิโลเมตร และ 10 กิโลเมตร ภายในระยะเวลาจำกัดแค่ 1 ชั่วโมง พร้อมเต็มอิ่มกับบรรยากาศอันสวยงามในยามเช้า และครั้งแรกของการแข่งขันความเร็ว เพียงแค่คุณมีอุปกรณ์ที่มีล้อไม่ว่าจะเป็น ROLLER SKATE, SKATE BOARD หรือ Scooter ,One wheel ก็สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้

นอกจากนี้ยังมีงาน “Forest of Illumination” แสง สีบนผืนป่ายามค่ำคืน ณ คีรีมายา จังหวัดนครราชสีมา ที่เพิ่งเริ่มต้นเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมาและจะมีจนถึง 16 มกราคม 2565 สำหรับนักเดินทางที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแบบผจญภัยเหนือจินตนาการ โดยเราได้เนรมิตเส้นทางแห่งการเดินป่าสุดอัศจรรย์ ที่พร้อมจะสร้างประสบการณ์การเดินป่าครั้งใหม่

การจัดงาน “Thailand International Lantern & Food Festival” เทศกาลโคมไฟและอาหารนานาชาติ เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน-6 ธันวาคมนี้ ณ เมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการ และยังมีงาน “เมืองโบราณ ไลท์ เฟส 2565 3 อาณาจักรแห่งความรุ่งโรจน์” ที่นำเสนอในรูปแบบเดอะมิวสิคัล ผ่านแสง สี เสียง และมัลติมีเดียสุดอลังการ ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 มีนาคม-1 พฤษภาคม 2565 ณ เมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการด้วย

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า แม้อินเด็กซ์ฯจะมีแผนงานชัดเจน และทำให้ในปีนี้มีรายได้กว่า 600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้กว่า 400 ล้านบาท แต่ก็ยังอยู่ในแดนลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ดังนั้นในปีหน้าที่เชื่อว่าสถานการณ์ต่างๆ จะดีขึ้น จะทำให้อินเด็กซ์ฯ กลับมาอยู่ในแดนบวก

ขณะที่ภาพรวมของอุตสาหกรรมอีเว้นท์เอง ในปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่าราว 2,000-3,000 ล้านบาท หลังจากธุรกิจอีเว้นท์ถูกปิดต่อเนื่อง เพิ่งจะได้รับการคลายมาตรการให้กลับมาจัดได้ในเดือนพ.ย. ทำให้หลายอีเว้นท์ไม่สามารถเตรียมดำเนินการได้ทัน อย่างไรก็ดีหากไม่เกิดการระบาดระลอกใหม่เข้ามาอีก

เชื่อว่าในปีหน้าอุตสาหกรรมอีเว้นท์จะกลับมามีมูลค่าราว 7,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 50% ของปี 2562 ซึ่งมีมูลค่าราว 1.4 หมื่นล้านบาท ก่อนจะไต่ลำดับขึ้นไป และหากภาครัฐมีแผนงานกระตุ้น ด้วยการส่งเสริมให้มีการจัดบิ๊กอีเว้นท์ เช่น EEC Fair ฯลฯ จะช่วยกระตุ้นให้อุตสาหกรรมกลับมาคึกคักอีกครั้ง

“การที่อีเว้นท์จะกลับมาสู่ภาวะปกติ อาจจะต้องใช้เวลาจนถึงปี 2567-2568 เพราะอย่าลืมว่ากว่าเศรษฐกิจจะกลับมาก็ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง วันนี้รัฐบาลเอง จะใช้มาตรการเดิมๆไม่ได้แล้ว เพราะมาตรการเหล่านี้เกิดขึ้นในขณะที่คนไทยยังไม่ได้ฉีดวัคซีน แต่วันนี้ที่สถานการณ์เปลี่ยนไป รัฐบาลต้อง Back to the Future ทำให้คนไทยใช้ชีวิตแบบปกติ”

หน้า 14-15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,733 วันที่ 21 - 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564