สมาคมโรงสีข้าวไทย รายงานราคารับซื้อข้าวเปลือกทั่วประเทศ ณ วันที่ 9 กันยายน 2563 เพียงแค่สัปดาห์เดียว จากวันที่ 3 ก.ย. ที่ผ่านมา ราคาปรับลดทั้งกระดาน โดยเฉลี่ย ราคา 300-500 บาท/ตัน ทั้ง "ข้าวเปลือกเจ้า5%" และ "ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี" แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงปรับตัวรุนแรง ก็คือ "ข้าวหอมมะลิ" ทั้งข้าวเปลือกและข้าวสาร ซึ่งจากข้าวสารที่เคยปรับตัวไปสูงสุดที่ราคาตันละ 3.1 หมื่น-3.3 หมื่นบาท ณ ปัจจุบันราคาข้าวสารหอมมะลิปรับลดเหลือตันละ 2.5 หมื่นบาท-2.7 หมื่นบาท ส่วนราคาข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาปัจจุบันโดยเฉลี่ยตันละ 1.34 หมื่นบาท-1.45 หมื่นบาท จากราคาที่เคยปรับไปสูงสุดที่ตันละ 1.7 หมื่นบาท-1.8 หมื่นบาท ซึ่่งจากกรณีดังกล่าวนี้ ชาวนาเริ่มมีการเคลื่อนไหวแล้ว
นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สาเหตุที่ราคาข้าวเปลือกตก เพราะโรงสีไม่มีเงินซื้อข้าวธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อให้กู้ จึงทำให้ขาดสภาพคล่องหนัก ผมเป็นห่วงโรงสี เพราะว่าโรงสีมีผลกับชีวิตของชาวนา ถ้าไม่มีเงิน ชาวนาก็ไม่รู้จะนำข้าวไปขายให้กับใคร รวมทั้งเรื่องการส่งออกข้าว ทุกวันนี้ก็ส่งออกได้น้อย เพราะราคาข้าวสูงจากคู่แข่ง ลูกค้าก็หันไปสั่งซื้อข้าวจากที่อื่นแทน เพราะราคาข้าวแพงจากต้นทุนสูง แต่คุณภาพข้าวอาจจะพอกับคู่แข่ง ย่อมเป็นธรรมดาที่ไปซื้อข้าวในราคาถูกกว่า ซึ่งทางสมาคมก็ได้มีโอกาสคุยกับ 2 กรม ก็ได้แก่ กรมการค้าภายในและกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อหาทางออกร่วมกันในการแก้ปัญหา
“ข้าว” แม้ว่าจะประสบปัญหาภัยแล้ง แต่ผลผลิตชาวนาก็มีมากเพราะดิ้นรนปลูกกัน ไม่ได้ปล่อยให้ผืนนาว่างเปล่า ซึ่งตรงนี้ก็น่าเป็นห่วงเกรงว่าผลผลิตจะล้นประเทศถ้าส่งออกไม่ได้ จะทำอย่างไร ในขณะนี้ผลผลิตข้าวก็เริ่มทยอยออกมาแล้ว ดังนั้นราคาไม่ไว้วางใจจะต้องรีบสกัดก่อนที่จะร่วงดิ่งหนัก แล้วถ้า โรงสีเจ๊ง ชาวนาก็ไม่รู้จะนำข้าวไปขายให้กับใคร” นายปราโมทย์ กล่าวในตอนท้าย
ด้านนายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า สถานการณ์ราคาข้าวอยู่ในราคานี้ หากเทียบกับปีที่ผ่านมา ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนราคารับซื้อข้าวเปลือกก็สะท้อนมาจากราคารับซื้อข้าวสาร ประกอบกับคำสั่งซื้อผู้ส่งออกข้าวลดลงในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จึงทำให้ราคาปรับลดลงตามกลไกตลาด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง