นายพอล สิริสันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิเวอร์ซัล มิวสิค กรุ๊ป (ประเทศไทย) หรือ “UMG” ผู้บริหารค่ายเพลงและศิลปินระดับโลก อาทิ เทย์เลอร์ สวิฟต์, จัสติน บีเบอร์, เดรก, มารูนไฟว์ ฯลฯ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ยูนิเวอร์แซล มิวสิค กรุ๊ป มุ่งให้ความสำคัญกับธุรกิจสตรีมมิ่ง (Streaming) อย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าธุรกิจสตรีมมิ่งในเมืองไทยมีการเติบโต 17% ต่อปี แม้สถานการณ์โควิด-19 จะส่งผลกระทบทำให้ภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง แต่พบว่าธุรกิจดนตรียังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับการแข่งขันในตลาดดนตรีของไทย
โดยปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในช่วงเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล หากมองจากตลาดที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจสตรีมมิ่งในไทย คิดเป็นจำนวนราว 15 ล้านคน ในสัดส่วนดังกล่าวมีเพียง 5% ที่ใช้บริการของสตรีมมิ่ง ดังนั้นยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก และถือเป็นโอกาสของยูนิเวอร์แซล มิวสิค กรุ๊ปในประเทศไทย ที่จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจนี้ พร้อมกับสร้างรายได้ และขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ยูนิเวอร์ซัล มิวสิค กรุ๊ป ในระดับโลกมีความแข็งแกร่งมากในธุรกิจสตรีมมิ่ง โดยในปี 2561 ยูนิเวอร์ซัล มิวสิค กรุ๊ปทั่วโลกมีรายได้จากธุรกิจสตรีมมิ่ง และ Subscription 70% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสร้างรายได้ของบริษัทไปอย่างสิ้นเชิง
สำหรับในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นภูมิภาคที่อุตสาหกรรมดนตรีมีโอกาสการเติบโตสูง โดยยูนิเวอร์ซัล มิวสิค กรุ๊ป โฟกัสในการสร้างศิลปินไทยคลื่นลูกใหม่เพื่อก้าวสู่ระดับโลก โดยร่วมกับพันธมิตรหลักที่หลากหลายในภูมิภาคนี้ จึงเป็นที่มาของความร่วมมือกับ iAM (Independent Artist Management) ที่ต่างมีวิสัยทัศน์แบบเดียวกัน คือ ยกระดับศิลปินเพลงป๊อปของไทยก้าวสู่เวทีในระดับสากล
ด้านนายณัฐพล บวรวัฒนะ กรรมการบริหารฝ่ายปฏิบัติการณ์ บริษัท อินดิเพนเด้นท์ อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ “iAM” ผู้บริหารค่ายเพลงเจ้าของกลุ่มศิลปิน BNK48 กล่าวว่า BNK48 ถือเป็นไอดอลเกิร์ลกรุ๊ป ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดย UMG และ iAM ได้ทำการคัดเลือกสมาชิก 6 คน จากกลุ่ม BNK48 ประกอบด้วย ปัญ-ปัญสิกรณ์, เนย-กานต์ธีรา, กระเต็น-เจนนิษฐ์, นิว-ชัญญาภัค, ฟ้อนด์-ณัฐทิชา และนิกี้-วรินท์รัตน์ พร้อมฝึกซ้อมอย่างหนักมาตลอดเกือบ 1 ปี เพื่อเป็นตัวแทนของคนไทยรุ่นใหม่ โดยมีเป้าหมายการสร้างตลาด T-POP ให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรม โดยซิงเกิ้ลแรกจะปล่อยออกมาในเดือนตุลาคมนี้
อย่างไรก็ดีธุรกิจดนตรีในประเทศไทย ถือว่ามีความสนใจในการสร้าง T-POP เป็นอย่างมาก เนื่องจากการเล็งเห็นโอกาสและช่องทางในการขยายฐานผู้ฟังและผู้ชมไปสู่ต่างประเทศได้ง่ายดายกว่า ด้วยเทคโนโลยีของอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วขึ้น และที่สำคัญคือเครื่องมือหลักที่เป็นตัวขับเคลื่อนคอนเทนต์ไปสู่มือผู้บริโภคอย่างไร้พรมแดนนั่นก็คือ “มิวสิคและวิดีโอสตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม” ที่มีให้เลือกอย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็น Spotify, Apple Music, JOOX, QQ, KKBOK, TikTok, Netflix, WeTV, V Live หรือแม้กระทั่ง YouTube เป็นต้น ซึ่งตัวเลขการเจริญเติบโตของผู้ใช้งานสตรีมมิ่งแพล็ตฟอร์มทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คิดเป็น 24% ต่อปี และในไทยคือ 20% ต่อปี
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจต่อจากนี้ คือการเดินหน้าเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในหลากหลายช่องทาง (Multi Channel Approach) ด้วยแนวคิด “Soft Power” การดึงดูดและสร้างการมีส่วนร่วมจากผู้ชม ผู้ฟังได้มากกว่าการบังคับ ซึ่งครอบคลุมทั้งการขายสินค้า (Merchandise) ของศิลปิน, การถ่ายทอดสดผ่านออนไลน์ (Live) การไลฟ์สตรีม (live streams) รวมถึง การเปิดตัวสารคดีของโปรเจ็กต์ LYRA ภายใต้ชื่อ “LYRALITY SHOW” ที่บันทึกเรื่องราว การฝึกซ้อมและการใช้ชีวิตร่วมกันหลายเดือนของสมาชิกทั้ง 6 คน ก่อนปล่อยเพลงซิงเกิ้ลแรก ในต้นเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ โดยบริษัทได้ร่วมกับ AIS เปิดให้รับชม Episode 1 และ 2 เป็นครั้งแรกในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ทาง AIS PLAY รับชมได้ฟรีทุกเครือข่าย หลายช่องทาง ทั้งเว็บไซต์ aisplay.ais.co.th, Application บนมือถือ, กล่อง AIS PLAYBOX, Apple TV และช่องทางใหม่ล่าสุด Samsung Smart TV โดยเรียลลิตี้โชว์ดังกล่าว ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ ในการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายมากขึ้น
หน้า 21-22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,599 วันที่ 9 - 12 สิงหาคม พ.ศ. 2563