การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งเริ่มต้นขึ้นที่อู่ฮั่น แหล่งผลิตและส่งออกสินค้าไปทั่วโลก เมื่อโรงงานต่างๆ ถูกสั่งปิดจึงส่งผลกระทบไปยังภาคการผลิตและจำหน่ายในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยด้วย
ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและตลาดเงิน Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การระบาดของโรค COVID-19 ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงเศรษฐกิจไทยในด้านอื่น ๆ อาทิ ภาคการส่งออก ภาคการผลิต รวมถึงการบริโภคภายในประเทศ และอีกส่วนที่ได้รับผลกระทบคือ ซัพพลายเชน ดิสรัปชัน จากการที่จีนปิดโรงงานหลายแห่ง และโรงงานเหล่านั้นบางส่วนซัพพลายสินค้าให้กับไทย เพราะฉะนั้นจะส่งผลกระทบกับภาคการผลิตของไทยไปด้วย
“อู่ฮั่น มีโรงงานจำนวนมาก อาทิ โรงงานออโต้ เทคโนโลยี โรงงานเหล่านี้ผลิตได้ไม่เต็มที่ เพราะฉะนั้นของที่จะส่งมาบ้านเราก็กระทบ กำลังการผลิตของไทยจะสะดุดไปด้วยเช่นกัน”
ขณะที่นายภูมิพงษ์ ตันเจริญผล คันทรี่ แมเนเจอร์ ประเทศไทย Zilingo สตาร์ตอัพไทยในสายแฟชั่น กล่าวว่าโควิด- 19 อาจจะยังไม่ส่งผลกระทบที่ชัดเจนในขณะนี้แต่ระยะยาวจะเห็นถึงผลกระทบต่อซัพพลายเชนกลุ่มสินค้าแฟชั่นที่มาจากประเทศจีน ที่จะส่งผลกระทบต่อไทยและอีกหลายประเทศแน่นอน ตั้งแต่ต้นนํ้าถึงปลายนํ้า อย่างไรก็ดี แม้ไวรัสโควิด-19 จะควบคุมได้ แต่ผลกระทบและการสโลว์ดาวน์ของกำลังซื้อและซัพพลายเชนจะยังเกิดต่อเนื่อง
เช่นเดียวกับนายจิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ เอสซี แกรนด์ หรือ บริษัท แสงเจริญ แกรนด์ จำกัด กล่าวว่า ในแง่ของผู้ผลิตแบรนด์ไม้ม็อบถูพื้นซูเปอร์แคท มีการนำเข้าพลาสติกจากจีนราว 20% ในขณะที่ถังปั่นทั่วไป นำเข้าพลาสติกจากจีน 90% ตรงนี้ได้รับผลกระทบแน่นอนในแง่ซัพพลายเชน รวมไปถึงบรรดาออนไลน์ช็อปปิ้งต่างๆ อาทิ ลาซาด้า ช้อปปี้ มีพาร์ตเนอร์คู่ค้าที่เป็นซัพพลายเชนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนจำนวนมาก ตรงนี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ และการผลิตแน่นอน
ด้านนายวิเชียร กันตถาวร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทเกอร์ ดิสทริบิวชั่น แอนด์ โลจิสติคส์ จำกัด ในเครือสหพัฒน์ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ที่หวาดวิตกกลัวว่าจะติดเชื้อ และการแพร่ระบาดในวงกว้างทำให้หวั่นเกรงว่าจะเข้าสู่ระยะ 3 จึงเกิดการกักตุนสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน และอาหาร แต่ขณะเดียวกันพบว่าสินค้าที่ขายในห้างสรรพสินค้า เช่น แฟชั่น เครื่องสำอาง มียอดขายลดลง 20-30% ทำให้ซัพพลายเออร์ส่งสินค้าลดลงด้วย
“ยอดขายในห้างลดลง 30% ซัพพลายเออร์ก็ผลิตสินค้าลดลง 30% บริษัทก็ขนส่งสินค้าลดลง 30% กระทบเป็นลูกโซ่ ส่วนกระแสการตื่นกลัวว่าไวรัสระบาดหนักทำให้ต้องปิดเมือง ส่งผลให้คนแห่ซื้อสินค้ากักตุน ในความเป็นจริงมีสินค้ารองรับเพียงพอได้อีกหลายเดือน เพราะวันนี้สินค้าไม่ว่าจะเป็นของกิน ของใช้ ทิชชู มาม่า กำลังการผลิต เหลือเฟือ หากมีความต้องการมากก็สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ทันที ขณะที่ระบบการขนส่งปัจจุบันทำงานเฉลี่ย 12 ชม.ต่อวัน สามารถเพิ่มเป็น 24 ชม.ต่อวันได้ทันที หากมีความจำเป็น”
อย่างไรก็ดี ระบบซัพพลายเชนโดยรวมในประเทศยังไม่มีปัญหาแต่อย่างใด โดยเฉพาะในกลุ่มอาหาร ยังสามารถผลิต ขนส่ง และกระจายสินค้าได้ตามปกติ แต่ปริมาณมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับซัพพลายเออร์แต่ละราย ที่จะผลิตและจัดส่งตามสัดส่วนยอดขายที่มี หากยอดขายดีก็ต้องผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นตามออร์เดอร์ที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของตลาด
ปัจจุบันไทเกอร์เป็นผู้จัดส่งสินค้าให้เครือสหพัฒน์ อาทิ มาม่า ของใช้ในบ้าน สินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง ฯลฯ คิดเป็นสัดส่วน 20% และนอกเครือสหพัฒน์อีก 80%
หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,558 วันที่ 19 - 21 มีนาคม พ.ศ. 2563