'แอลจี' เผยผลงานปี 61 ทุบสถิติรายได้ประจำปีสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กลุ่ม HA และโฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์

04 ก.พ. 2562 | 11:08 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

"แอลจี อีเลคทรอนิคส์ อิงค์" (แอลจี) เผยผลประกอบการทั้งปีประจำปี 2561 ที่ 54.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.80 ล้านล้านบาท) มียอดขายทะลุ 53.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.77 ล้านล้านบาท) เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ผลกำไรตลอดปี 2561 มีมูลค่า 2.40 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 7.92 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากปี 2560 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากยอดขายทำสถิติของกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและกลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์

LG SIGNATURE OLED TV W7T Series Launch_3
ทั้งนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องปรับอากาศ มีรายได้ทั้งปีประจำปี 2561 ที่ 17.17 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 5.67 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นประมาณ 5% จากปีก่อนหน้า และสร้างสถิติผลกำไรสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทที่ 1.35 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.46 หมื่นล้านบาท) โดยรายได้ประจำไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา มีมูลค่า 3.84 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.27 แสนล้านบาท) สูงขึ้น 3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า จากยอดขายอันแข็งแกร่งในทวีปเอเชียและยุโรป แม้จะต้องประสบกับปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ผันผวนในภูมิภาคอเมริกากลางและอเมริกาใต้ รวมถึงความไม่มั่นคงด้านการเมืองในตะวันออกกลาง โดยคาดการณ์ว่า กลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะยังคงความแข็งแกร่งต่อเนื่องในปี 2562 นี้ จากความต้องการในระดับสูงที่มีต่อผลิตภัณฑ์พรีเมียมและการเติบโตอย่างมั่นคงในประเทศเกาหลีใต้ ควบคู่ไปกับความมุ่งมั่นในการรับมือปัญหา ด้านการค้าระหว่างประเทศและความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในประเทศอื่น ๆ


LG DM5360

ขณะที่ กลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ มีรายได้ตลอดปี 2561 ที่มูลค่า 14.37 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.74 แสนล้านบาท) และมีผลกำไรสูงสุดเป็นสถิติที่ 1.35 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.46 หมื่นล้านบาท) จากความแข็งแกร่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียม โดยมียอดขายประจำไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 4.04 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.33 แสนล้านบาท) ต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2560 อยู่ 6% แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 ของปีเดียวกัน 23% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากความต้องการประจำฤดูกาลที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ ในปี 2562 บริษัทวางแผนสร้างการเติบโตให้แก่ทั้งรายได้และผลกำไรจากการดำเนินงาน โดยมุ่งกระตุ้นยอดขายในกลุ่มทีวีพรีเมียม OLED TV และทีวีจอขนาดใหญ่ Ultra HD TV

ด้าน กลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ ประกาศรายได้ประจำปี 2561 ที่มูลค่า 7.08 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.34 แสนล้านบาท) และมียอดขายในไตรมาสที่ 4 รวม 1.51 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.98 หมื่นล้านบาท) ลดลง 16% จากไตรมาสที่ 3 โดยถึงแม้ยอดการขาดทุนจากการดำเนินงานตลอดทั้งปีจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 700.65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.31 หมื่นล้านบาท) แต่โครงสร้างทางธุรกิจของกลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือได้แสดงถึงสัญญาณการเติบโตมากขึ้น จากการควบคุมต้นทุนวัตถุดิบที่รัดกุมและประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนการผลิต สอดคล้องกับกลยุทธ์ระบบการผลิตแบบประกอบกลุ่มชิ้นงานขนาดใหญ่ของบริษัท นอกจากนี้ ในปี 2562 ธุรกิจโทรศัพท์มือถือจะมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ 5G และสมาร์ทโฟนที่มีการออกแบบโครงสร้างและการจัดเรียงชิ้นส่วนบนเมนบอร์ดที่แตกต่างออกไป และจะยังคงให้ความสำคัญกับตลาดที่แบรนด์แอลจีมีความแข็งแกร่งอยู่แล้วอย่างต่อเนื่อง


PH1

นอกจากนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ มีรายได้ของปี 2561 มีมูลค่า 3.80 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.25 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 28% จากปี 2560 และยังมีรายได้ประจำไตรมาสที่ 4 สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ อยู่ที่มูลค่า 1.24 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.09 หมื่นล้านบาท) ซึ่งสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า 71% และสูงกว่าไตรมาสที่ 3 ของปี 2561 ประมาณ 20% โดยเป็นผลต่อเนื่องมาจากคำสั่งซื้อระบบข้อมูลและความบันเทิงในรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น และผลการดำเนินงานอันแข็งแกร่งของกลุ่มบริษัท ZKW ผู้ผลิตระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับรถยนต์ในยุโรป นอกจากนี้ ความผันผวนในตลาดชิ้นส่วนยานยนต์ที่เกิดจากปัญหาด้านการค้าระหว่างประเทศยังมีแนวโน้มที่จะคลี่คลายและเติบโตมากขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้านี้


Print

สำหรับกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร ชี้แจงผลประกอบการตลอดทั้งปี 2561 ที่ 2.13 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 7.03 หมื่นล้านบาท) มีมูลค่ากำไรอยู่ที่ 148.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.91 พันล้านบาท) โดยมีรายได้ประจำไตรมาสที่ 4 ที่ 530.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.75 หมื่นล้านบาท) ลดลง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสที่ 3 ของปี 2561 ในขณะที่ ผลกำไรจากการดำเนินงานของไตรมาสที่ 4 มีมูลค่า 13.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.36 ร้อยล้านบาท) ซึ่งรายได้ที่ลดลงนั้นเป็นผลกระทบมาจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ผลกระทบจากภาษีนำเข้าและการเสื่อมราคาอย่างต่อเนื่องของแผงโซลาร์เซลล์ จึงเกิดการชะลอตัวของต้นทุน อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มกำไรในกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร โดยการสร้างความหลากหลายของกลุ่มตลาดเป้าหมายในธุรกิจแผงโซลาร์เซลล์ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานผลิตโซลาร์เซลล์ในประเทศสหรัฐอเมริกา และเจาะตลาดใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์จอดิจิทัลเชิงพาณิชย์

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว