"แอลจี อีเลคทรอนิคส์ อิงค์" (แอลจี) เผยผลประกอบการทั้งปีประจำปี 2561 ที่ 54.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.80 ล้านล้านบาท) มียอดขายทะลุ 53.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.77 ล้านล้านบาท) เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ผลกำไรตลอดปี 2561 มีมูลค่า 2.40 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 7.92 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากปี 2560 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากยอดขายทำสถิติของกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและกลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์
ทั้งนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องปรับอากาศ มีรายได้ทั้งปีประจำปี 2561 ที่ 17.17 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 5.67 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นประมาณ 5% จากปีก่อนหน้า และสร้างสถิติผลกำไรสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทที่ 1.35 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.46 หมื่นล้านบาท) โดยรายได้ประจำไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา มีมูลค่า 3.84 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.27 แสนล้านบาท) สูงขึ้น 3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า จากยอดขายอันแข็งแกร่งในทวีปเอเชียและยุโรป แม้จะต้องประสบกับปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ผันผวนในภูมิภาคอเมริกากลางและอเมริกาใต้ รวมถึงความไม่มั่นคงด้านการเมืองในตะวันออกกลาง โดยคาดการณ์ว่า กลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะยังคงความแข็งแกร่งต่อเนื่องในปี 2562 นี้ จากความต้องการในระดับสูงที่มีต่อผลิตภัณฑ์พรีเมียมและการเติบโตอย่างมั่นคงในประเทศเกาหลีใต้ ควบคู่ไปกับความมุ่งมั่นในการรับมือปัญหา ด้านการค้าระหว่างประเทศและความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในประเทศอื่น ๆ
ขณะที่ กลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ มีรายได้ตลอดปี 2561 ที่มูลค่า 14.37 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.74 แสนล้านบาท) และมีผลกำไรสูงสุดเป็นสถิติที่ 1.35 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.46 หมื่นล้านบาท) จากความแข็งแกร่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียม โดยมียอดขายประจำไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 4.04 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.33 แสนล้านบาท) ต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2560 อยู่ 6% แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 ของปีเดียวกัน 23% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากความต้องการประจำฤดูกาลที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ ในปี 2562 บริษัทวางแผนสร้างการเติบโตให้แก่ทั้งรายได้และผลกำไรจากการดำเนินงาน โดยมุ่งกระตุ้นยอดขายในกลุ่มทีวีพรีเมียม OLED TV และทีวีจอขนาดใหญ่ Ultra HD TV
ด้าน กลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ ประกาศรายได้ประจำปี 2561 ที่มูลค่า 7.08 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.34 แสนล้านบาท) และมียอดขายในไตรมาสที่ 4 รวม 1.51 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.98 หมื่นล้านบาท) ลดลง 16% จากไตรมาสที่ 3 โดยถึงแม้ยอดการขาดทุนจากการดำเนินงานตลอดทั้งปีจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 700.65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.31 หมื่นล้านบาท) แต่โครงสร้างทางธุรกิจของกลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือได้แสดงถึงสัญญาณการเติบโตมากขึ้น จากการควบคุมต้นทุนวัตถุดิบที่รัดกุมและประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนการผลิต สอดคล้องกับกลยุทธ์ระบบการผลิตแบบประกอบกลุ่มชิ้นงานขนาดใหญ่ของบริษัท นอกจากนี้ ในปี 2562 ธุรกิจโทรศัพท์มือถือจะมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ 5G และสมาร์ทโฟนที่มีการออกแบบโครงสร้างและการจัดเรียงชิ้นส่วนบนเมนบอร์ดที่แตกต่างออกไป และจะยังคงให้ความสำคัญกับตลาดที่แบรนด์แอลจีมีความแข็งแกร่งอยู่แล้วอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ มีรายได้ของปี 2561 มีมูลค่า 3.80 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.25 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 28% จากปี 2560 และยังมีรายได้ประจำไตรมาสที่ 4 สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ อยู่ที่มูลค่า 1.24 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.09 หมื่นล้านบาท) ซึ่งสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า 71% และสูงกว่าไตรมาสที่ 3 ของปี 2561 ประมาณ 20% โดยเป็นผลต่อเนื่องมาจากคำสั่งซื้อระบบข้อมูลและความบันเทิงในรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น และผลการดำเนินงานอันแข็งแกร่งของกลุ่มบริษัท ZKW ผู้ผลิตระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับรถยนต์ในยุโรป นอกจากนี้ ความผันผวนในตลาดชิ้นส่วนยานยนต์ที่เกิดจากปัญหาด้านการค้าระหว่างประเทศยังมีแนวโน้มที่จะคลี่คลายและเติบโตมากขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้านี้
สำหรับกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร ชี้แจงผลประกอบการตลอดทั้งปี 2561 ที่ 2.13 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 7.03 หมื่นล้านบาท) มีมูลค่ากำไรอยู่ที่ 148.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.91 พันล้านบาท) โดยมีรายได้ประจำไตรมาสที่ 4 ที่ 530.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.75 หมื่นล้านบาท) ลดลง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสที่ 3 ของปี 2561 ในขณะที่ ผลกำไรจากการดำเนินงานของไตรมาสที่ 4 มีมูลค่า 13.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.36 ร้อยล้านบาท) ซึ่งรายได้ที่ลดลงนั้นเป็นผลกระทบมาจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ผลกระทบจากภาษีนำเข้าและการเสื่อมราคาอย่างต่อเนื่องของแผงโซลาร์เซลล์ จึงเกิดการชะลอตัวของต้นทุน อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มกำไรในกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร โดยการสร้างความหลากหลายของกลุ่มตลาดเป้าหมายในธุรกิจแผงโซลาร์เซลล์ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานผลิตโซลาร์เซลล์ในประเทศสหรัฐอเมริกา และเจาะตลาดใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์จอดิจิทัลเชิงพาณิชย์