‘ชาตรี  โสภณพนิช’ปูชนียบุคคลแห่งวงการแบงก์ไทย

01 ก.ค. 2561 | 01:48 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ก.ค. 2561 | 08:48 น.
เวลาประมาณ 20.00 น. วันที่ 24 มิถุนายน วงการธนาคารพาณิชย์และนักธุรกิจได้สูญเสียปูชนียบุคคลไปอย่างไม่มีวันกลับ ด้วยนายชาตรี โสภณพนิช ประธานกรรมการธนาคารกรุงเทพได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา ด้วยวัย 85 ปี

[caption id="attachment_293329" align="aligncenter" width="417"] BBL-ชาตรี โสภณพนิช_1 ชาตรี โสภณพนิช[/caption]

บรรดานักธุรกิจและนักการเมืองต่างร่วมแสดงความไว้อาลัย “ชาตรี โสภณพนิช” หรือที่บรรดาผู้สื่อข่าวจะรู้จักกันในนาม “บิ๊กบอส” ซึ่ง“ฐานเศรษฐกิจ” ขอร่วมไว้อาลัยต่อการจากไปของบุคคลที่ทำให้สังคมโลกประจักษ์และเป็นที่ยอมรับในทำเนียบนักธุรกิจ พ่อตัวอย่างผู้สร้างผลงานด้วยวิสัยทัศน์ สติปัญญาและความสามารถตลอดอายุขััย โดยหาใช่ความเป็นทายาทของตระกูลโสภณพนิชเท่านั้น

ด้วยชีวิตที่ผ่านมรสุมมาหลายระลอกตามกาลเวลา “บิ๊ก บอส”เคยเล่าให้บรรดากระจอกข่าวฟังว่า เคยเจอวิกฤติสุดโหดมา 3 ครั้งในชีวิต ครั้งแรก เมื่อเกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ช่วงนั้นคุณพ่อ (ชิน โสภณพนิช) เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่และอยู่ฝั่งราชครู มีอันต้องระเห็จไปอยู่ต่างประเทศ ต้องให้บุญชูโรจนเสถียร ขึ้นทำหน้าที่แทน พร้อมดึงตัวบิ๊กบอส มาฟูมฟักธนาคารกรุงเทพต่อสู้กับโลกการค้าในยุคนั้น

วิกฤติครั้งที่ 2 ยุคพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และเกิดการระสํ่าทางการเมืองจนกระทบต่อระบบธนาคารพาณิชย์ จนพล.อ.เปรมต้องออกมาพูดว่า “ถ้าธนาคารกรุงเทพล้มก็หมายถึงประเทศไทยล้มด้วย” พร้อมๆ กับสั่งให้กระทรวงการคลังนำเงิน 200 ล้านบาท ไปฝากกับธนาคารกรุงเทพ

ซึ่งครั้งนี้นี่เอง ที่มีการเล่าต่อๆกันมาถึง “บิ๊กบอส ชาตรี” ว่า ช่วงหนึ่งของการบริหาร ธนาคาร กรุงเทพ เกิดกระแสข่าวลือเรื่องฐานะของธนาคารจนทำให้ประชาชน แห่ถอนเงินฝากในบัญชี จนสร้างความตื่นตกใจกับทุกวงการ เพราะช่วงนั้นธนาคารกรุงเทพเป็นธนาคาร ชั้นนำของเมืองไทยหากจะเกิดอะไรขึ้นย่อมส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจ ทั้งประเทศ จน “บิ๊กบอสชาตรี” ต้องใช้วิธีเอาเงินมากองไว้เกือบท่วมหัว เพื่อให้ประชาชนเบิกถอนอย่างหนำใจจึงเรียกความเชื่อมั่น และดับกระแสข่าวลือลงได้

และครั้งที่ 3 คือ วิกฤติต้มยำกุ้ง ที่ทำให้สถาบันการเงินล้มหายตายจากไปหลายราย

โปรโมทแทรกอีบุ๊ก-6

บิ๊กบอส “ชาตรี” ผ่านประสบการณ์ฝึกงานด้านธนาคารที่ Royal Bank of Scotland, United Kingdomก่อนเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบัญชีกับบริษัทเอเชีย ทรัสต์ฯ จากนั้นเข้าร่วมการทำงานกับธนาคารกรุงเทพในปี 2502 ด้วยวัย 26 ปีต่อเนื่องถึงปี 2523 จึงนั่งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ตามด้วยตำแหน่งประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ในปี 2535 ก่อนนั่งตำแหน่งสูงสุดในฐานะประธานกรรมการหรือ CHAIMAN ในปี 2542 และเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ

หากย้อนมองเส้นทางอำนาจ“บิ๊กบอสชาตรี”จึงเป็นนักต่อสู้แห่งตระกูลโสภณพนิช นอกจากการปูทางสร้างฐานยั่งยืนแห่งอำนาจ ซึ่งรายล้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญ ที่ตกผลึกทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมืองและธุรกิจ โดยเห็นได้จากพันธมิตรและที่ปรึกษาส่วนตัวด้วยสไตล์การทำงานอย่างมุ่งมั่นรวดเร็วบวกวิสัยทัศน์กว้างไกล จึงสามารถวางแผนธุรกิจธนาคารกรุงเทพภายใต้คณะกรรมการบริหารล้วนมีประสบการณ์และความรู้ควบคู่มาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะบิ๊ก บอสไม่เคยคิดจะเกษียณอายุการทำงานแม้กิจการธนาคารกรุงเทพจะแข็งแกร่งเป็นปึกแผ่นก็ตาม

ปัจจุบันธนาคารกรุงเทพยังคงสถานภาพเป็นธนาคารพาณิชย์อันดับ 1 ของไทยด้วยขนาดสินทรัพย์กว่า 3 ล้านล้านบาท และภารกิจของ “บิ๊กบอสชาตรี” ในวันนี้ได้ส่งมองอาณาจักรทางธุรกิจสู่ “ชาติศิริ โสภณพนิช” ในรุ่นที่ 3 ซึ่งนอกจากเป็นการส่งไม้ต่อมรดกจากรุ่นสู่รุ่นแล้ว ชื่อของ “บิ๊กบอสชาตรี” ยัง เป็นปูชนียบุคคลผู้มีวิสัยทัศน์แห่งตระกูลโสภณพนิชตลอดกาล

หน้า 23-24 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,378 วันที่ 28 - 30 มิถุนายน 2561