ทิศทางการพัฒนา สนามบินหลักของไทย เพื่อรองรับดีมานด์การท่องเที่ยวที่โตต่อเนื่อง จะเป็นเช่นไร อ่านได้จากสัมภาษณ์ นายนิตินัย ศิริสมรรถการ ก.ก.ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
เร่งขยายรับ184 ล.
การเติบโตของปริมาณผู้โดยสารที่ใช้บริการสนามบินทั้ง 6 แห่งของทอท.ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ขยับจาก 101 ล้านคน ขึ้นมาเป็น 133 ล้านคนในปีที่ผ่านมา ขณะที่ศักยภาพของสนามบินในปัจจุบันรองรับได้เพียง 83.5 ล้านคนต่อปีเท่านั้น และนับวันการท่องเที่ยวจะยิ่งขยายตัวต่อเนื่อง นี่เองจึงทำให้สนามบินหลักต่างๆ ของไทย ต้องเผชิญกับปัญหาความแออัดในสนามบินที่เกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาทอท.ได้เตรียมแผนรับมือไว้แล้ว โดยอยู่ระหว่างใช้งบร่วม 2.2 แสนล้านบาทขยายศักยภาพการรองรับของสนามบินทั้ง 6 แห่งในช่วง 10 ปีนี้ เพื่อขยายการรองรับผู้โดยสารเพิ่มเป็น 184 ล้านคนต่อปีในปี 2568
[caption id="attachment_286836" align="aligncenter" width="452"]
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ ก.ก.ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศ ยานไทย จำกัด (มหาชน)[/caption]
การลงทุนต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นต้องใช้เวลาหลายปี ทำให้แม้จะขยายอย่างไรก็คงจะไม่สามารถรองรับดีมานด์การขยายตัวของผู้โดยสารได้ทัน แต่เราก็พยายามเร่งรัดการลงทุนให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ล่าสุดสนามบินไหนเร่งการก่อสร้างให้เร็วขึ้นได้ ก็เข้าไปปรับแผนการลงทุนใหม่
อย่างแผนขยายสนามบินดอนเมือง ตอนนี้เร่งเร็วขึ้น 2 ปี โดยการรื้ออาคารผู้โดยสารภายในประเทศเดิม มาสร้างเป็นอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ (อาคารผู้โดยสารหลังที่ 3) พร้อมอาคารเทียบเครื่องบินหมายเลข 6 แล้วเสร็จในปี 2565 และได้ปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อออกแบบเอง ไม่ต้องจ้างออกแบบ ยกเว้นเทอร์ มินัล 2 สนามบินดอนเมือง
รุกผุด 2 สนามบินใหม่
อีกทั้งทอท.ยังมองถึงความจำเป็นในการสร้าง 2 สนามบินใหม่ ลงทุนราว 1.26 แสนล้านบาท (ไม่รวมที่ดิน) เนื่องจากตอนนี้สนามบินภูเก็ต มีผู้โดยสาร 16.7 ล้านคน ปีหน้าคาดว่าจะไปถึง 18 ล้านคน และคาดการณ์ว่าในปี 2581 จะมีผู้โดยสารถึง 42.42 ล้านคน จำนวนเที่ยวบิน 2.11 แสนเที่ยวบิน ทำให้ทอท.มองถึงการลงทุนขยายสนามบินภูเก็ตไปถึงอัลติเมตเฟส (ขยายการลงทุนเต็มศักยภาพของพื้นที่) ควบคู่ไปกับแผนลงทุนสร้างสนามบินภูเก็ตแห่งใหม่ที่พังงา
ส่วนสนามบินเชียงใหม่ ณ สิ้นงบประมาณปี 2560 มีผู้โดยสาร 9.97 ล้านคน เกินศักยภาพของสนามบินที่รองรับได้ 8.5 ล้านคน ขณะที่ในปี 2581 คาดว่าจะมีผู้โดยสารประมาณ 23.33 ล้านคน และจำนวนเที่ยวบิน 1.37 แสนเที่ยวบิน ดังนั้นจึงมองที่จะสร้างสนามบินใหม่ ควบคู่ไปกับการทบทวนแผนขยายการลงทุนอัลติเมตเฟสของสนามบินเชียงใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับการรองรับของจังหวัดเชียงใหม่
ทั้งนี้รูปแบบในการก่อสร้างสนามบินใหม่ทั้ง 2 แห่งนี้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก ในระยะแรกจะเปิดให้บริการเฉพาะเที่ยวบินภายในประเทศ มี 1 รันเวย์ มีขีดความสามารถของอาคารผู้โดยสารเบื้องต้นระยะแรก รองรับอยู่ที่ราว 10-15 ล้านคนต่อปี และจะปรับการให้บริการของสนามบินเชียงใหม่และสนามบินภูเก็ตในปัจจุบันให้รองรับเฉพาะเที่ยวบินระหว่างประเทศ แต่ในอนาคตหากมีดีมานด์นักท่องเที่ยวมากขึ้นไปอีก กายภาพของสนามบินใหม่ ก็จะเผื่อไว้สำหรับรองรับการติดตั้งอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก และเผื่อพื้นที่ไว้แล้ว ให้สามารถรองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศได้ด้วยในอนาคต
3 เกณฑ์เลือกพื้นที่ก่อสร้าง
ส่วนกรอบในการจัดหาที่ดินทอท.วางเกณฑ์ใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1. มีการขีดวงไว้ว่าจะพิจารณาพื้นที่ ว่าจะอยู่ห่างจากสนามบินปัจจุบัน 20-30 กิโล เมตร เพื่อไม่ให้ห่างจากสนามบินปัจจุบันมากนัก เพื่อความสะดวกในการเดินทาง 2. เป็นพื้นที่ราบ และ 3. ไม่อยู่ในแนวร่องเขา เพื่อสร้างรันเวย์แล้ว ไม่เกิดปัญหาด้านทราฟฟิกระหว่างสนามบินปัจจุบันกับสนามบินใหม่ เมื่อเครื่องบินทำการบินสวนกัน
จากเกณฑ์ดังกล่าวเบื้องต้นพบว่าจะมีที่ดินราว 5.3 พันกว่าโฉนด ที่อยู่ในเกณฑ์โดยเป็นพื้นที่ระหว่างอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ กับอำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูนกว่า 5 พันโฉนด และเป็นพื้นที่ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา ราว กว่า 300 โฉนด ซึ่งทอท.จะต้องไปดำเนินการเจรจาซื้อที่ดิน หรือหากไม่สามารถซื้อ เพราะราคาสูงเกินไป ก็ต้องเป็นการเวนคืน โดยทอท.มีความต้องการใช้พื้นที่อยู่ที่ 5-7 พันไร่ต่อสนามบิน
ขั้นตอนต่อจากนี้ทอท. ได้วางไทม์ไลน์การดำเนินการไว้ 3 สเต็ป โดยสเต็ปที่ 1 จะนำมติบอร์ดทอท.เสนอไปยังกระทรวงคมนาคม เพื่อนำเรื่องเสนอครม. พิจารณา จากนั้นจะจัดประชุมผู้ถือหุ้นภายในไม่เกินสิ้นปีนี้ เพื่อขออนุมัติแผนสร้างสนามบินใหม่
สเต็ปที่ 2 จะเป็นกระบวนการได้มาซึ่งที่ดิน และสเต็ปที่ 3 จะเป็นช่วงการก่อสร้าง ซึ่งกระบวนการก่อสร้างจะใช้เวลา 4 ปี แต่สนามบินจะเปิดให้บริการได้เมื่อไหร่ยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน เพราะขึ้นอยู่กับระยะ เวลาของกระบวนการในการได้มาซึ่งที่ดิน ว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่ แต่ก็คาดว่า กระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จและสามารถดำเนินก่อสร้างได้ก่อนระยะเวลาที่สนามบินเชียงใหม่และสนามบินภูเก็ต จะเต็มขีดความสามารถในการรองรับ
ดังนั้นเบ็ดเสร็จแล้วทอท.ต้องใช้งบลงทุนสนามบินในช่วง 10 ปีนี้ร่วม 3.46 แสนล้านบาท(ตารางประกอบ) ทั้งในส่วนของการขยายศักยภาพสนามบินเดิมและการสร้างสนามบินใหม่ ซึ่งการลงทุนที่เกิดขึ้นจะไม่กระทบต่อสภาพคล่อง เนื่องจากปัจจุบันทอท.มีกระแสเงินสดในมือกว่า 6.2 หมื่นล้านบาท และมีเงินสดที่เป็นกำไรไม่หักค่าเสื่อมเข้ามาอีกปีละ 3 หมื่นล้านบาท
จ่อบริหาร 4 สนามบินทย.
นอกจากการลงทุนพัฒนาสนามบินแล้ว ทอท.ยังเน้นบูรณา การยุทธศาสตร์การบริหารท่าอากาศยาน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาโครงข่ายระบบการขนส่งทางอากาศของประเทศในภาพรวม โดยการบริหารสนามบินในลักษณะแอร์พอร์ต คลัสเตอร์ ซึ่งปัจจุบัน 6 สนามบินของทอท. ถือว่ารองรับนอร์ธ คอร์ริดอร์ และเซาธ์คอร์ริดอร์อยู่แล้ว โดยที่ภาคเหนือ เรามีสนามบินเชียงใหม่เป็นฮับ สนามบินแม่ฟ้าหลวงเชียงราย เป็นเกตเวย์ ภาคใต้มีสนามบินภูเก็ต เป็นฮับ สนามบินหาดใหญ่เป็นเกตเวย์ แต่สิ่งที่ขาดไปคือ ด้านอีสต์และเวสต์ คอร์ริดอร์
การที่ทอท.ได้รับความเห็นชอบจากบอร์ด ในการบริหาร 4 สนามบินของกรมท่าอากาศยาน (ทย.) ได้แก่ สนามบินอุดรธานี สนามบินตาก ชุมพร สกลนคร ทำให้เราเติมเต็มส่วนที่หายไป ซึ่งทอท.เสนอรับโอนสนามบินจากทย.ไปยังกระทรวงคมนาคมแล้ว รอครม.เห็นชอบ โดยเบื้องต้นทอท.จะใช้งบราว 1 พันล้านบาทในการปรับปรุงอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกของสนามบินอุดรธานีและสกลนคร เพื่อยกระดับการให้บริการสำหรับรองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ ส่วนชุมพร ก็จะรองรับนโยบายไทยแลนด์ริเวียร่า ของรัฐบาล ส่วนตาก ก็จะล้อไปตามนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งต่อไปจะโฟกัสการทำตลาดให้ครอบคลุมคลัสเตอร์ต่างๆ
หน้า 22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3371 ระหว่างวันที่ 3 -6 มิ.ย. 2561