ด้วยสังคมที่เร่งรีบพฤติ กรรมของคนเข้าสู่สังคมเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ที่พักอาศัยในกทม.ที่คนนิยมอยู่ตามอาคารสูงอย่าง หอพัก ห้องเช่า คอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ และสังคมเมืองแบบนี้กำลังขยายไปตามหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัดมากขึ้น เติบโตตามการขยายตัวของเศรษฐกิจในพื้นที่
[caption id="attachment_266949" align="aligncenter" width="503"]
กวิน นิทัศนจารุกุล[/caption]
จากพฤติกรรมคนที่เปลี่ยนไป ทำให้ “คิม” กวิน นิทัศนจารุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เจ้าของธุรกิจร้านสะดวกซัก เปิดตลอด 24 ชั่วโมง เกิดไอเดียทำธุรกิจร้านสะดวกซัก ให้บริการภายใต้แบรนด์ “OTTERI WASH AND DRY” เป็นผู้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ทางด้านการซัก อบแห้ง แบบซักผ้าหยอดเหรียญ มีทั้งในรูปของการเปิดแฟรนไชส์และเปิดหน้าร้านเอง
“คิม” เด็กหนุ่มจากรั้ว มหาวิทยาลัยศรีนครินทร วิโรฒ (มศว.) สาขาวิทยา ศาสตร์อัญมณีและเครื่องประดับ ย้อนถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจให้เห็นภาพว่า เริ่มมาจากที่ครอบครัวขายเครื่องซักผ้าเพื่ออุตสาหกรรมโดยนำเข้ามาตั้งแต่ปี2555 ส่วนใหญ่ขายให้กับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นโรงพยาบาล โรงแรม โรงงานอุตสาหกรรม ที่ปัจจุบันก็ยังทำอยู่ โดยนำเข้าเครื่องซักผ้าแบรนด์ “OASIS” จากจีนและแบรนด์ “MAYTAT” จากอเมริกา
พอปี 2558 มีโอกาสไปเที่ยวมาเลเซีย และเริ่มเห็นว่าธุรกิจซักผ้าหยอดเหรียญหรือร้านสะดวกซัก เติบโตมากขึ้น แค่ 3 ปี มียอดเติบโตถึง 3,000 สาขาทั่วมาเลเซีย จนเป็นที่น่าสังเกตว่า ธุรกิจอะไรที่น่าสนใจมักจะไปเกิดขึ้นที่สิงคโปร์ก่อน ต่อมาก็มาเกิดที่มาเลเซียและก็มาในไทย เมื่อมองเห็นโอกาสว่าตลาดในไทยใหญ่กว่าที่มาเลเซีย มีประชากรมากกว่าถึง 2 เท่า ไปด้วยดีในอนาคต แม้ว่าซักผ้าหยอดเหรียญมีมานานแล้ว แต่ที่เมืองไทยในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา ยังไม่มีความเป็นสังคมเมืองมากนัก ความทันสมัยในการให้บริการซักผ้ายังไม่ได้แพร่หลายมาก
++ปิ๊งโอกาสทางธุรกิจ
จากการเก็บเกี่ยวข้อมูลมารอบด้าน จึงเปิดโอกาสให้กับตัวเองโดยเดินหน้าทำธุรกิจร้านสะดวกซัก ให้บริการภายใต้แบรนด์ “OTTERI WASH AND DRY” รองรับพฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะกลุ่มคนเมืองที่อาศัยอยู่ตามคอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ ที่มีครอบครัวขนาดเล็กลง ไม่มีเวลาซักผ้า อีกทั้งพื้นที่ตากผ้าก็จำกัด ถ้าเฉลี่ย 1 ครอบครัว พ่อ แม่ ลูก 2 คน รวม 4 คน จะมีผ้าเฉลี่ยที่ต้องซัก 20-24 ชิ้น แต่มีเครื่องซักผ้าเครื่องเดียวไม่เพียงพอ แสดงว่าจะต้องซักผ้าถึง 20 กิโลกรัม ใช้เวลาประมาณ 16 ชั่วโมงต่อ 1 อาทิตย์ แต่พอมาที่ร้านสะดวกซัก “OTTERI WASH AND DRY” มีเครื่องซักผ้าจำนวนมาก ที่สามารถแยกซักพร้อมอบได้ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง
“OTTERI WASH AND DRY” จึงเป็นทางเลือกใหม่ โฟกัสที่ 2 กลุ่มเป้าหมายหลักคือ 1. ประชากรแฝง ที่ส่วนใหญ่อยู่หอพัก อพาร์ตเมนต์ 2. กลุ่มแม่บ้านที่มีเครื่องซักผ้าเพียงเครื่องเดียวแบบฝาบนไม่เพียงพอรองรับปริมาณผ้าที่มีจำนวนมาก บริการซักผ้าหยอดเหรียญจึงเข้ามาตอบโจทย์เหล่านี้ได้โดนใจ
++พุ่ง 200 สาขาเพิ่มรายได้
ปัจจุบันร้านสะดวกซัก “OTTERI WASH AND DRY” มีช่องทางรายได้จากการเปิดให้บริการเอง 3 สาขา ตั้งอยู่ที่ย่านรามคำแหง 53 และรามคำแหง 65 และย่านลาดพร้าว 112 และเปิดเป็นแฟรนไชส์ 25 สาขา รวมทั้งสิ้น 28 สาขาเรียกว่าเราเปิดสาขากันแทบทุกอาทิตย์ โดยมีเป้าหมายว่าภายในปี 2561 จะเพิ่มแฟรนไชส์และร้านที่เปิดให้บริการเองเพิ่มเป็น 200 สาขาทั่วประเทศ โดยสัดส่วน 20% กระจายไปตามหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด เนื่องจากมีการขยายตัวของสถาบันการศึกษามากขึ้น เช่น เชียงใหม่ ชลบุรี
“หลักการคือขายแฟรนไชส์ 4 สาขา จะทำให้สามารถเปิดสาขาของตัวเองได้ 1 สาขาโดยที่ไม่ต้องกู้เงินจากแบงก์มาลงทุน ฉะนั้นอัตราส่วนก็จะเป็น 4 ต่อ 1 “สมมติผมมีแฟรนไชส์ 160 สาขา ในจำนวนนี้จะเป็นร้านของเราเอง 40 สาขา รวมกันทั้งหมดปีนี้จะเติบโตถึง 200 สาขา”
++รักแบรนด์เหมือนลูกสาว
สำหรับเงื่อนไขในการเลือกแฟรนไชส์นั้น คิมบอกว่า “ค่อนข้างซีเรียสในการคัดเลือก เพราะแบรนด์ของเราก็ไม่ต่างกับลูกสาวที่เราห่วง เพราะเราสร้างมากับมือ วันหนึ่งมีคนโยนเงินมาให้เรา 2-3 ล้านบาท แล้วก็เอาลูกสาวเราไปทำอะไรก็ได้ ซึ่งมันไม่ได้ เราต้องการคนที่มีความรับผิดชอบมาดูแลแบรนด์ของเราให้ดี”
++ต้องคืนทุนต่อสังคม
อย่างไรก็ตามการทำธุรกิจให้สำเร็จได้ นอกเหนือจากเงินที่เข้ามาแล้ว เราจะต้องสร้างประโยชน์ต่อสังคมหรือกับชุมชนในบริเวณที่เปิดร้านสะดวกซักด้วย ยกตัวอย่างเช่น ที่รามคำแหง 65 มีพื้นที่ขนาด 200 ตารางเมตร ซึ่งพื้นที่ด้านหลังเกือบ 80 ตารางเมตร เปิดเป็นพื้นที่สาธารณะ มีสวน สามารถมานั่งเล่นไว-ไฟฟรีได้ และไม่จำเป็นต้องเป็นลูกค้าก็มานั่งได้ โดยมองว่าความเป็นอยู่ในย่านนั้นขาดพื้นที่สีเขียว เพราะมีแต่ตึกสูง ไม่มีสวน นี่จะเป็นสิ่งเล็กๆ ที่เราตั้งใจให้กับชุมชนในย่านที่เราทำธุรกิจ หรืออีกโครงการที่มีกรณีที่ลูกค้าต้องการบริจาคเสื้อผ้า ตุ๊กตา ก็จะให้บริการซัก อบ พับให้ฟรี ก่อนที่จะขนไปบริจาคให้ หรือถ้าเป็นแฟรนไชส์ที่เชียงใหม่ บางแสน ก็จะบริจาคผ่านมูลนิธิต่างๆ
ปัจจุบันแฟรนไชส์ที่เปิดให้พันธมิตรเข้ามาจะมี 2 ขนาดคือ ไซซ์ M ที่ลงทุน 2.2 ล้านบาท และไซซ์ L ต้องลงทุน 3 ล้านบาท โดยบริษัทจะออกแบบและวางระบบให้ และให้ผู้ที่ลงทุนบริหารจัดการประจำวัน ส่วนใหญ่เฉลี่ยไม่เกิน 2-3 ปีคืนทุน
สำหรับปริมาณความจุของเครื่องซักผ้าที่ให้บริการ มีตั้งแต่ความจุ 10-17 กิโลกรัม มีราคาตั้งแต่ 40-80 บาท ทุกเครื่องผ่านการซักด้วยนํ้าอุ่น นํ้าเย็น และนํ้าร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโรค ใช้เวลาซักพร้อมอบร้อน ประมาณ 1 ชั่วโมง ราคา 60 บาทต่อชิ้น เปรียบเทียบกับร้านซักผ้าทั่วไป เอาผ้านวมไปซัก อีก 3 วัน นัดไปรับมีราคาตั้งแต่ 100-150 บาทต่อชิ้นซึ่งสูงกว่า
++จัดโปรโมชันแรง
กวิน กล่าวถึงโปร แกรมที่จัดโปรโมชันว่า ตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืนถึง 6 โมงเช้าราคาซัก จะลด 50% เช่น ปริมาณ 10 กิโลกรัมจากราคา 40 บาทเหลือ 20 บาท และทุกวันพุธจะลดราคา 20 บาท เฉพาะซักจะมีขนาดนํ้าหนักกี่กิโลก็ลด 20 บาท
++เป้าหมายอนาคต
ล่าสุดกวิน เพิ่มความสะดวกในการบริการมากขึ้น โดยให้มีการชำระค่าซักผ้าผ่านทางโมบาย อี-เพย์เมนต์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างทดสอบระบบที่สาขามหาดไทยซึ่งเป็นสาขาต้นแบบ ชำระผ่านทางนี้จะสามารถลดราคาให้ลูกค้าได้ ในขณะที่ผู้ให้บริการก็จะได้บิ๊กดาต้าจากโมบายอี-เพย์เมนต์ ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ด้านการตลาดได้ โดยมีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าธนาคารเอสเอ็มอีแบงก์ และธนาคารเอสซีบี ให้การสนับสนุน โดยลูกค้าที่จะมาทำแฟรนไชส์ด้วยสามารถกู้เงินได้โดยที่ไม่ต้องมีอะไรคํ้าประกัน เรียกว่าการให้บริการทั้งระบบจะต้องรวดเร็ว สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น นับเป็นตัวช่วยในการตอบโจทย์คนเมืองได้ตรงเป้าที่สุด!
สัมภาษณ์โดย : งามตา สืบเชื้อวงค์
ภาพ : สิทธิศักดิ์ วงศ์ปรากฏ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,347 วันที่ 11 - 14 มีนาคม พ.ศ. 2561