‘อินเด็กซ์’ตั้งเป้าปี 61โต 10% บุกตลาดออนไลน์เมียนมาคิวต่อไปเวียดนาม

23 ธ.ค. 2560 | 09:07 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2561 ว่า จากสัญญาณการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ และหากไม่มีปัจจัยลบมากระทบกับภาวะเศรษฐกิจ เชื่อว่าในปีหน้าธุรกิจอีเวนต์ที่มีมูลค่ากว่า 1.12 หมื่นล้านบาทน่าจะกลับมาเติบโตได้ในอัตรา5-10%จากปีนี้ที่อุตสาหกรรมติดลบ 10% จากปัจจัยต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งธุรกิจที่จะกลับมาเติบโตได้ดี คาดว่าจะเป็นธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์

ขณะที่ภาพรวมของบริษัทในปีหน้า คาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้ในอัตรา 10% หรือมีรายได้รวม 1,746 ล้านบาท จากการรุกตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งในปี 2560 นี้คาดว่าจะปิดรายได้ที่ 1,742 ล้านบาท โดยมีรายได้พิเศษจากการจัดงาน International Expo ที่ อัสตานา คาซัคสถาน เข้ามา 240 ล้านบาท ซึ่งเป้าหมายการเติบโตในอัตรา 10% ดังกล่าวไม่รวมรายได้พิเศษนี้เข้ามาในการตั้งเป้าหมายธุรกิจกลุ่มธุรกิจที่จะเติบโตสูงสุดเป็นกลุ่มธุรกิจ ไอ-โปรเจ็กต์ (I-Project) ซึ่งเป็นธุรกิจอีเวนต์หรืองานที่บริษัทพัฒนาขึ้นมาภายใต้แบรนด์ของตนเอง ที่ปีหน้าจะเติบโตถึง 186% หรือคิดเป็นมูลค่า 132 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มธุรกิจมาร์เก็ตติ้งเซอร์วิส จะเติบโตในอัตรา 21%หรือคิดเป็นรายได้ 1,300 ล้านบาท ส่วนธุรกิจครีเอทีฟ บิสิเนสดีเวลลอปเมนท์ คาดว่าจะไม่เติบโตเนื่องจากไม่มีรายได้พิเศษเข้ามาส่วนใหญ่มีรายได้จากงานเดิมที่ทำอยู่แล้ว เช่น งานพิพิธภัณฑ์ เป็นต้น แต่ยังคงทำรายได้ 214 ล้านบาท

[caption id="attachment_243720" align="aligncenter" width="503"] เกรียงไกร กาญจนะโภคิน เกรียงไกร กาญจนะโภคิน[/caption]

นอกจากนี้ ในปี 2561 บริษัทจะรุกการทำตลาดในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเมียนมาเนื่องจากเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว และหลังจากรัฐบาลของนางอองซาน ซูจีได้บริหารประเทศจะครบ 2 ปีในช่วงต้นปีหน้า ที่จะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น จึงคาดว่าตัวเลขเศรษฐกิจของเมียนมาจะเติบโตประมาณ 6% จากช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเติบโตในอัตรา 5-5.6% ประกอบกับบริษัทได้เข้าไปทำตลาดในเมียนมามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการบริการจัดงานอีเวนต์ งานเทรดแฟร์ และงานวิจัยการตลาด โดยเฉพาะธุรกิจออนไลน์ที่ได้บริษัท แฮปปิโอ้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเริ่มเข้าไปบุกตลาดอย่างจริงจังในช่วงปีที่ผ่านมา

โดยบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้จากการเข้าไปทำธุรกิจในเมียนมาปี 2561 ในอัตรา 58% หรือทำรายได้รวม 120 ล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่าจะทำรายได้รวม 80 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการให้บริการทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ สำหรับการสร้างแบรนด์สินค้าทั้งแบรนด์คนไทยที่เข้าไปบุกตลาดเมียนมา แบรนด์โกลบอลที่เข้าไปจับตลาดเมียนมาด้วย ซึ่งขณะนี้การทำตลาดออนไลน์ในเมียนมากำลังเติบโตอย่างสูง จากจำนวนประชากรที่มีสมาร์ทโฟนอยู่กว่า 50 ล้านคน และกว่า 14 ล้านคนที่ใช้เฟซบุ๊ก ทำให้การทำตลาดผ่านเฟซบุ๊กมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย โดยในอีก 2 ปีข้างหน้าบริษัทจะบุกตลาดออนไลน์ในเวียดนามต่อไป

โปรโมทแทรกอีบุ๊ก-6 ด้านนายคณิต อร่ามกิจโพธา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แฮปปิโอ้ จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจออนไลน์ในเมียนมาถือเป็นโอกาสสร้างการเติบโตได้อย่างมาก เนื่องจากจำนวนประชากรส่วนใหญ่ใช้โทรศัพท์มือถือที่เป็นระบบสมาร์ทโฟนและยังมีการเข้าถึงเฟซบุ๊กที่มีอัตราการเติบโตกว่าสื่ออื่นๆ โดยเติบโตถึง 90% แม้ว่าการเข้าถึงสื่อทีวีจะยังเป็นหลักด้วยสัดส่วน 32% ก็ตาม รวมถึงการเข้าถึงสื่ออินเตอร์เน็ตที่มีอัตราการเติบโตรองลงมาถึง 40% คิดเป็นสัดส่วน 14% ของจำนวนประชากรทั้งหมด

ปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าเป็นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่ทำตลาดในเมียนมาแล้ว 3-4 ราย อยู่ระหว่างการเจรจาอีก 2-3 รายที่คาดว่าจะเข้ามาเป็นลูกค้าในปีหน้า ซึ่งจะช่วยผลักดันให้บริษัทมีอัตราการเติบโตในปีหน้า 200-300% จากปีนี้ที่คาดว่าจะทำรายได้ 8 ล้านบาท โดยบริษัทมีบริการออนไลน์ครบวงจรอาทิ การพัฒนาเว็บไซต์และแอพพลิเคชันการตลาดออนไลน์ คอนเทนต์มาร์เก็ตติ้งออนไลน์ และการซื้อสื่อออนไลน์ เป็นต้น ส่วนทิศทางธุรกิจออนไลน์ในปี 2561 ในเมียนมา ยังมองว่าสื่อออนไลน์หลักที่นักการตลาดจะเข้ามาทำตลาดเป็นหลักยังเป็นเฟซบุ๊กและไวเบอร์ (Viber) เว็บแชตออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในเมียนมาขณะเดียวกันเชื่อว่าจะมีเน็ตไอดอลเข้ามาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการทำตลาดเพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบันเป็นกลุ่มดาราและนักแสดงเท่านั้น

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,324 วันที่ 21 - 23 ธันวาคม พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9