“กรีนเดย์” ออร์เดอร์ทะลักข้ามปี ลูกค้าต่างประเทศขานรับดีเกินคาด โดยเฉพาะตลาดอเมริกา ล่าสุดถือออร์เดอร์ในมือแล้วครึ่งทาง ทั้งปีได้แน่ตามเป้า 1,000 ล้านบาท เร่งโรงงานใหม่ผลิตเร็วขึ้นก่อนกำหนด 5-6 เดือน ชี้ปีหน้ามี 2 ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องรับมือให้ได้
นายชัยรัตน์ คงศุภมานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรีนเดย์ โกลบอล จำกัด เจ้าของแบรนด์ “กรีนเดย์” ผู้ดำเนินธุรกิจผักผลไม้อบกรอบ เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงเป้าหมายและแผนทางธุรกิจปี 2561 ว่ารายได้ปี 2561 จะเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาทนั้น มีความเป็นไปได้สูงมากในขณะนี้ เนื่องจาก บริษัทมียอดออร์เดอร์จากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามาข้ามปีโดยเฉพาะลูกค้าจากอเมริกาที่สั่งซื้อสินค้าเข้ามาทั้งในรูปของการรับจ้างผลิตหรือโออีเอ็ม และนำเข้าผักผลไม้อบกรอบแบรนด์ “กรีนเดย์”
นอกจากนั้นก็จะมีคำสั่งซื้อจากฮ่องกง สเปน รัสเซีย โดยในปี2561นี้จะบุกไปยังลูกค้ารายใหม่ในตลาดอเมริกาเพิ่มขึ้นอีก ส่วนคู่ค้ารายใหม่ที่สนใจเข้ามาสั่งซื้อล็อตแรกแล้วคือ ซาอุดีอาระเบีย และภายในปีหน้าจะมีเดนมาร์ก โปแลนด์เข้ามา
[caption id="attachment_243574" align="aligncenter" width="503"]
ชัยรัตน์ คงศุภมานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรีนเดย์ โกลบอล จำกัด[/caption]
ขณะนี้บริษัทยังคงเป็นผู้ผลิตในลักษณะรับจ้างผลิตหรือโออีเอ็มให้กับแบรนด์อื่นๆในสัดส่วน 60% ของกำลังผลิตทั้งหมด และผลิตขายภายใต้แบรนด์ “กรีนเดย์” สัดส่วน 40% ขายทั้งในประเทศและส่งออก ซึ่งในส่วนนี้ปัจจุบันมีการส่งออกและขายในประเทศฝ่ายละ 50% โดยตลาดส่งออกกำลังได้รับการขาน รับที่ดีมาก ขณะนี้มีฐานลูกค้าทั่วโลก 25 ประเทศ มีตลาดหลักอยู่ ที่ฮ่องกง สิงคโปร์ ยุโรป เมียนมา อินโดนีเซีย และอเมริกา
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรีนเดย์ โกลบอล จำกัด กล่าวว่าโดยภาพรวมขณะนี้บริษัทมีออร์เดอร์เข้ามาข้ามปีแล้ว ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้นว่า ปี 2561 จะทำได้ตามเป้าหมายแน่นอน โดยขณะนี้มีออร์เดอร์อยู่ในมือแล้วครึ่งทางหรือราว 500 ล้านบาท สำหรับปี 2561 โดยรายได้จะทยอยเข้ามา ส่วนใหญ่ยังเน้นการขายในรูปโออีเอ็ม เพราะสามารถทำตลาดได้ง่ายกว่าขายในรูปแบรนด์ “กรีนเดย์” ซึ่งการออกไปขายภายใต้แบรนด์ตัวเองในตลาดต่างประเทศยังต้องใช้เวลา โดยตัวผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจะมาจากวัตถุดิบผัก ผลไม้รวมประมาณ 30 ชนิด สินค้าที่เป็นตัวยอดนิยมจะมี 4 ผลิตภัณฑ์คือกระเจี๊ยบอบกรอบบล็อกโคลิอบกรอบสตรอว์เบอร์รี่อบกรอบ และมะพร้าวอบกรอบ ที่บรรจุอยู่ในซองตั้งแต่ขนาด12กรัมไปจนถึงขนาด90 กรัม
สำหรับแผนรับมือกับปริมาณออร์เดอร์ที่เข้ามาจำนวนมากนั้น ทำให้ล่าสุดบริษัทต้องเร่งสร้างโรงงานใหม่ที่จังหวัดสมุทรปราการ(ในนิคมอุตสาหกรรมบางปู )ให้เสร็จเร็วขึ้นก่อนกำหนด 5-6 เดือน จากแผนเดิมจะต้องแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2561 ก็เลื่อนมาผลิตได้ในช่วงเดือนมกราคมแทน โรงงานผลิตแห่งใหม่ จะขยายกำลังผลิตจาก 900 ตันต่อปีให้มีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นอีก 2-3 เท่าตัว พร้อมประกาศรับพนักงานเพิ่มจาก 300 คนที่มีอยู่แล้วเพิ่มเป็น 350 คน
ส่วนข้อกังวลในการทำธุรกิจตลอดปี 2561 นั้น มองว่าจะมีอยู่ 2 ปัจจัยเสี่ยงเท่านั้นคือ 1. การขาดแคลนวัตถุดิบที่อาจมีไม่เพียงพอในการรองรับกับออร์เดอร์ที่เข้ามา โดยเฉพาะกระเจี๊ยบเขียว ซึ่งมีไฟเบอร์สูงมากเมื่อผ่านการอบกรอบจะเป็นที่นิยมบริโภคกันมากในตลาดต่างประเทศ ทำให้ล่าสุดบริษัทต้องเข้าไปส่งเสริมเกษตรกรปลูกกระเจี๊ยบเขียวในพื้นที่ขนาด 200 ไร่ จากวิสาหกิจชุมชนจังหวัดพะเยา ในลักษณะทำคอนแทรกต์ฟาร์มมิ่ง (Contract Farming) และยังต้องการขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นอีก ซี่งในส่วนนี้จะต้องบริหารวัตถุดิบจากพืชเกษตรอย่างเพียงพอ 2. ตลาดในประเทศที่เป็นกลุ่มตลาดลูกค้าทั่วไป ที่มุ่งมวลชนจำนวนมากหรือแมส มาร์เก็ต (Mass Market) ที่ส่วนใหญ่เป็นลูกค้ากลุ่มพรีเมียม ยังมีความไม่แน่นอน เพราะถ้าช่วงไหนที่เศรษฐกิจในประเทศไม่ดีการเจาะตลาดกลุ่มนี้ก็จะแผ่วลงได้
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,324 วันที่ 21 - 23 ธันวาคม พ.ศ. 2560