หนึ่งในผู้ทำงานใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ...“ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล” เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ท่านได้ขึ้นปาฐกถาหัวข้อ“ในหลวงแห่งแผ่นดิน” ภายในงาน “๙ ศิระกราน พระภูบาลนวมินทร์” ที่โรงพยาบาลศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล (มม.)ร่วมกองทัพเรือจัดขึ้น เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในโอกาสครบรอบ 1 ปีเเห่งการสวรรคต
“ดร.สุเมธ” เล่าว่า ได้มีโอกาสขอพระราชทานพรวันเกิด ครั้งเมื่ออายุครบ72 ปี ซึ่งตอนนี้ท่านอายุ 78 ปี ในตอนนั้นพระองค์ท่านประทับรักษาพระวรกายอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ในครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร ทรงยื่นพระหัตถ์จับที่ไหล่แล้วมีรับสั่งว่า
“สุเมธ งานยังไม่เสร็จ”พระองค์ทั้งทรงมีรับสั่งยํ้าอยู่ 3 ครั้ง
ผมได้นึกย้อนกลับไป กับคำสั่งเสียงครั้งสุดท้าย ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จำได้ว่า วันนั้นตอบได้เพียงว่า
“รับใส่เกล้าฯ”...นั่นคือ เราเกษียณไม่ได้ งานยังไม่เสร็จ เสร็จเมื่อไรไม่รู้ ต้องทำตัวเหมือนพระองค์ท่านสอน เหมือนพระมหาชนก ฝั่งทะเลอยู่ข้างหน้า อยู่ที่ไหนไม่รู้ ก็ต้องว่ายไป วันหนึ่งก็ต้องถึงซึ่งนั่นเป็นพรสุดท้าย และวันนี้กลายเป็นคำสั่งเสียสุดท้าย”
ในวันนี้
“ดร.สุเมธ” ได้ทำหน้าที่ส่งต่อรับสั่งนั้น ให้กับคนไทยทุกคนว่างานเพื่อแผ่นดินยังทำไม่เสร็จ ตราบใดที่ยังไม่หมดเรี่ยวแรง ก็ขอให้ทุกคนทำหน้าที่ตนเองต่อไป เหมือนกับพระมหาชนกที่ว่ายนํ้าโดยไม่เห็นฝั่ง ขอให้ทุกคนตอบตัวเองให้ได้ว่า วันนี้ได้ทำอะไรถวายพระองค์ท่าน อย่าพูดแค่ว่าจะทำดีเพื่อพ่อ ขอให้ลงมือทำซึ่งพระองค์จะมองลงมาจากเบื้องบน
“ดร.สุเมธ” บอกว่า ตลอดระยะเวลา 35 ปีเต็มที่ได้ทำงานรับใช้พระองค์ท่าน ได้เรียนรู้การทำงานหลายอย่าง และพระองค์ท่านก็สอนหลายสิ่งหลายอย่างความโศกเศร้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยอมรับว่านั่งทำใจอยู่ 4-5 วัน และยอมรับว่าช่วงนั้นเป็นลูกศิษย์ของพระองค์ท่านที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะไม่ได้ทำตัวให้เข้มแข็ง ท่านเคยสอนเวลาที่หมดกำลังใจว่า “คนเรานั่น จะทำงานใหญ่บนแผ่นดินได้ ก็ต้องทำตัวเสมือนแท่งเหล็กก่อนที่จะถูกตีเป็นมีดดาบ ต้องถูกเผาถูกทุบ ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้าย ก้อนเหล็กที่ไม่มีค่า ก็กลายเป็นมีดดาบ...พระองค์ท่านทรงรับสั่งว่า ใครที่ไม่เคยถูกทุบ ไม่เคยถูกเผาในชีวิต ทำงานใหญ่ให้แผ่นดินไม่ได้
การดำเนินงาน และการปฏิบัติงานของพระองค์ท่าน เพื่อคนไทยทั้งหลาย ปีละ 8 เดือนพระองค์ท่านอยู่นอกกรุงเทพฯ เชียงใหม่ 2 เดือน สกลนคร 2 เดือน ไกลกังวล 2 เดือนนราธิวาส 2 เดือน คนอื่นอาจจะไปตากอากาศแต่ 8 เดือนของพระองค์ คือ 8 เดือนที่เหนื่อยยากที่สุด ไปในที่บางแห่งที่ไม่มีใครไป เดินทางไปบนถนนที่ตะปุ่มตะปั่ม
“พระองค์ท่านบอกว่าเราจะครองแผ่นดิน...พระองค์ท่านไม่ได้บอกว่าเราจะปกครองแผ่นดินครองก็คือ ครองเรือน ครองชีวิตครอบครัว เหมือนพระครองสมณเพศ ไม่มีอำนาจอะไรอยู่เลย มีแต่เรื่องจิตใจ ความรัก ความเมตตา และเหนือสิ่งใดคือ ความรับผิดชอบ”
เป็นประมุขของประเทศ ไม่ใช่ มีความสูงส่งเพียงอย่างเดียว หากแต่ว่ามีความรับผิดชอบที่จะต้องปฏิบัติ และตลอด 70 ปีพระองค์ไม่ได้ละออกจากความรับผิดชอบนี้เลย พระองค์ท่านให้หมดทุกอย่าง พระวรกาย ความเหนื่อยยาก ไม่มีกลางวัน กลางคืน ไม่มีเสาร์-อาทิตย์เพื่อรักษาดิน นํ้า ลม ไฟ เพื่อให้ประชาชนมีอยู่มีกิน มีความสุข ความต้องการของพระองค์ท่านมีนิดเดียว เสวยนิดเดียว ฉลองพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉลองพระบาท ทำในประเทศไทยราคาไม่กี่บาท นาฬิกาที่ทรงใช้ราคา 750 บาทท่านต้องการใช้ประโยชน์เท่านั้น อย่างที่พระองค์ท่านตรัสไว้ “ประโยชน์สุข” ถ้าไม่มีประโยชน์ก็อย่าไปฟุ้งเฟ้อ พระองค์ท่านทำให้ดู มีแบบอย่างที่สูงส่งอยู่เบื้องหน้า ที่ประชาชนคนไทยควรดำเนินรอยตาม
สิ่งที่น่าเสียดาย คือ คนไทยเห็นแต่ภาพไม่ได้มอง แค่เห็นเฉยๆ ถ้ามองจะเห็นอะไรเยอะการที่เสด็จมาอยู่กรุงเทพฯ 4 เดือนก็ไม่ได้พักแค่ประทับอยู่ที่ระเบียง โครงการถนนลอยฟ้าก็เกิดแล้ว แม้กระทั่งยามประชวร ในพระสมองยังคิดถึงเรื่องความเป็นอยู่ของพวกเรา ทางลงปิ่นเกล้าทำเป็นก้นหอย พระองค์ทำงานระหว่างประชวรมากมายก่ายกอง แม้แต่จะผ่าตัดใหญ่ครั้งล่าสุด ยังมีรับสั่งให้นำคอมพิวเตอร์มาติดไว้ที่ข้างเตียง
70 ปี ของการทำงาน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร น่าจะเป็นเรื่องเตือนใจคนไทย ต่อไปนี้ หน้าที่การดูแลน้ำดูแลแผ่นดินต้องเป็นหน้าที่ของไทยทุกคน ทุกคนต้องออกมาประคองแผ่นดินนี้ร่วมกัน
“เวลานี้ พระองค์ไม่มาสอนเราแล้ว พระองค์ท่านไม่มีเวลามาทำให้ดูแล้วแต่เหนือสิ่งอื่นใด พระองค์ท่านมองเราจากข้างบน ทำให้ท่านเห็นหน่อยเถอะ ไปแต่ละแห่ง ก็บอกว่า เราจะทำดีถวายพ่อผมก็ต้องถามต่อ วันนี้ทำอะไรบ้าง ตอบได้ไหม ทุกวันเราต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าวันนี้ทำอะไรไปบ้าง และทุกครั้งที่เราทำถวายท่าน พวกเราเองก็ได้รับ... ตอนนี้เราต้องเป็นพ่อแม่ที่ส่งต่อแผ่นดินให้กับลูกเรา เขาจะได้อยู่ต่อไป”
“ดร.สุเมธ” กล่าวในตอนท้ายว่าระหว่างไปงานพระบรมศพ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รับสั่งว่า “ทูลกระหม่อมพ่อรับสั่งว่าให้ทำงานต่อไปนะ และงานเราจะหนักกว่าเดิม”
ผมก็รับใส่เกล้า และคิดในใจว่า จะปฏิบัติตามคำพรที่พระองค์ทรงให้มา วันไหนหมดแรงสังขารไม่เอื้อ ก็เป็นเรื่องของสังขารเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ตราบใดที่ยังมีชีวิต ผมก็จะขอทำงาน และไม่ใช่ทำงานเพื่อตัวเอง จะทำเพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นตามที่พระองค์ได้กำชับไว้
...........
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,308 วันที่ 26 - 28 ตุลาคม พ.ศ. 2560