คลินิกแก้หนี้ : เปิดทางลูกหนี้กลับใจ นายแบงก์ห่วงตามทวงยังยาก

10 มิ.ย. 2560 | 05:00 น.
อัปเดตล่าสุด :10 มิ.ย. 2560 | 08:17 น.
ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจนอาจกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชนและภาพรวมเศรษฐกิจระยะยาว ทำให้รัฐบาลได้เดินหน้าแก้ไขปัญหาหนี้ ทั้งส่วนของหนี้นอกระบบ (อ่านมาตรการแก้ไขหนี้นอกระบบของรัฐบาลประกอบ) ขณะที่หนี้ในระบบสถาบันการเงินที่สะท้อนผ่านหนี้สินครัวเรือน ยังมียอดหนี้คงค้าง ณ สิ้นปี 2559 สูงถึง 11.47 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อจีดีพีที่ 79.89%

++ลูกหนี้ผ่านเกณฑ์น้อย
ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคาร ธนาคารพาณิชย์ 16 แห่งและบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด หรือ บสส. (SAM) ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือจัดตั้ง โครงการแก้ไขปัญหาหนี้ส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน (คลินิกแก้หนี้) โดยว่าจ้างให้บสส.เป็นหน่วยงานกลางทำหน้าที่แทนเจ้าหนี้ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหอ้ ยู่ในระดับที่บริหารจดั การได้ตามศักยภาพจริง โดยหลังเปิดดำเนินการ 2 วันแรก (วันที่ 1-2 มิถุนายน) มีประชาชนยื่นความสนใจแล้วกว่า 6,000 คน

[caption id="attachment_152598" align="aligncenter" width="437"] นิยต มาศะวิสุทธิ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ SAM นิยต มาศะวิสุทธิ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ SAM[/caption]

ทั้งนี้ลูกหนี้ที่เข้าโครงการต้องอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า เป็นหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ค้างชำระเกินกว่า 3 เดือน(หนี้เสีย) กับธนาคารตั้งแต่ 2 แห่งขึ้นไปก่อนวันที่ 1 พฤษภาคม2560 และหนี้ค้างจากทุกธนาคารรวมกันต้องไม่เกิน 2 ล้านบาท และต้องเป็นผู้มีเงินเดือนประจำธปท.ประเมินเบื้องต้นว่าจะมีลูกหนี้ที่เข้าข่าย 1 แสนราย เป็นมูลหนี้ประมาณ 1 แสนล้านบาทลูกหนี้ที่เข้าข่ายเป็นเพียง 3.3%ของลูกหนี้ในระบบที่ค้างเกินกว่า3 เดือน ที่มีประมาณ 3 ล้านคนอ้างอิงฐานข้อมูลบริษัทเครดิตแห่งชาติฯ (เครดิตบูโร)

อย่างไรก็ดีแม้โครงการนี้จะได้รับความสนใจค่อนข้างมากแต่นายนิยต มาศะวิสุทธิ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บสส. เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ถึงสิ้นปีนี้ คาดจะมีผู้สมัครที่ผ่านเกณฑ์ประมาณ 4,000 คน

“เดิมคาดว่าถึงสิ้นปีจำนวนผู้ยื่นความสนใจจะมีหลักหมื่นราย แต่ 2 วันแรกก็ยื่นเข้ามา6,000 รายไปแล้วถึงสิ้นเดือนนี้ก็เกิน 1 หมื่นราย แต่เรายังยืนตัวเลขเดิมว่าคนที่ผ่านเกณฑ์น่าจะมีเพียง 3,000-4,000 รายไว้ก่อน สิ่งที่บสส.ต้องรีบทำคือการติดต่อกลับลูกหนี้เพื่อจะพูดคุยถ้าใช่ก็เข้าโครงการ” เขากล่าวพร้อมแจงค่าธรรมเนียม (Fee)ที่เรียกเก็บจากสถาบันการเงินเจ้าหนี้เพื่อติดตามหนี้ว่า เป็นอัตราเดียวกันหมด ตํ่ากว่าอุตสาหกรรมตามหนี้มาก ถือเป็นการช่วยลูกหนี้ ไม่ได้หวังกำไร

[caption id="attachment_157794" align="aligncenter" width="503"] คลินิกแก้หนี้ : เปิดทางลูกหนี้กลับใจ นายแบงก์ห่วงตามทวงยังยาก คลินิกแก้หนี้ : เปิดทางลูกหนี้กลับใจ นายแบงก์ห่วงตามทวงยังยาก[/caption]

++วิน-วิน เจ้าหนี้-ลูกหนี้
โครงการคลินิกปรับหนี้ถือเป็นการตอบโจทย์ทั้งกับธนาคารเจ้าหนี้และลูกหนี้ เพราะการที่ธนาคารพาณิชย์จะตามหนี้เสียที่รอวันตัดหนี้สูญ เป็นหนี้ไม่มีหลักประกัน ไม่มีบุคคลคํ้า และมีรายจ่ายในการติดตามค่อนข้างสูงถึง10-20 % (อัตราอุตสาหกรรมในตลาด) เทียบไม่ได้กับการว่าจ้างบสส.บริหารแค่ 5-7% อีกทั้งลูกหนี้ที่เข้าโครงการนี้จะไม่มีการปรับลดเงินต้น ธนาคารเจ้าหนี้จึงรับเต็มจำนวน นอกจากนี้หากลูกหนี้ชำระเพียงงวดเดียวก็ได้รับการจัดชั้นหนี้ เป็นหนี้ปกติ(หนี้ค้างตํ่ากว่า 3 เดือน)

ส่วนประโยชน์ด้านลูกหนี้เทียบกับอัตราดอกเบี้ยกรณีผิดนัดที่ 20-25% แต่ข้อกำหนดของคลินิกแก้หนี้ คิดอัตราดอกเบี้ยที่ 4-7% ขึ้นกับรายได้ของลูกหนี้โดยให้ผ่อนยาวนานถึง 10 ปี

ตัวอย่างหนี้เงินต้น 1 ล้านบาท กรณีผิดนัดดอกเบี้ย 20% ต่อปี ผ่อนคืนภายใน 10 ปี ต้องชำระเดือนละ 2 หมื่นบาท แต่หากคำนวณดอกเบี้ยที่ 4-7% ต่อปีจะผ่อนต่อเดือนที่ 10,700 บาท-12,200 บาทเท่านั้น ภาระลดลงเกือบครึ่ง

++แบงก์ชี้ลูกหนี้ตั้งใจมีน้อย
อย่างไรก็ดีเอาเข้าจริง“คลินิกแก้หนี้” จะดึงดูดให้ลูกหนี้ที่อยู่ในข่ายแสนราย สมัครเข้าโครงการและกลับมาเป็นลูกหนี้ปกติได้มากน้อยแค่ไหน !

[caption id="attachment_118061" align="aligncenter" width="503"] ฐากร ปิยะพันธ์ ฐากร ปิยะพันธ์[/caption]

นายฐากร ปิยะพันธ์ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรีคอนซูมเมอร์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า หนี้เสียในกลุ่มนี้ เป็นหนี้บัตรเครดิตเฉลี่ยรายหนึ่งถืออยู่ 2-3 บัตรมีมูลหนี้ต่อบัตรอยู่ที่ 5 หมื่นบาทส่วนสินเชื่อบุคคลมีหนี้เฉลี่ยต่อราย 7 หมื่นบาท ส่วนรายที่มีทั้งหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลซ้อนกันอยู่เราคาดว่าจะมีประมาณ 15-20%

“หนี้กลุ่มนี้เป็นหนี้เสียเพียงแต่แบงก์ยังไม่ได้ตัดเป็นหนี้สูญ ที่ผ่านมาแบงก์ต้องเป็นฝ่ายตามทวงหนี้ แต่โครงการนี้ลูกหนี้ต้องเดินมาหาบสส.เอง ถือว่าเป็นโจทย์ท้าทาย เพราะติดตามทวงยังยากเลย จะให้ลูกหนี้เป็นฝ่ายเดินมาขอแก้หนี้เองยิ่งยากกว่า จึงคาดว่าลูกหนี้ที่สมัครใจต้องการจะแก้หนี้จริงๆ น่าจะมีแค่ 5-7% หรืออย่างมาก 10% แต่เห็นด้วยว่าเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ทั้งกับแบงก์และลูกหนี้”

นายบูชา ศิริชุมแสง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-สำนักประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี กล่าวเห็นด้วยกับโครงการนี้ ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ลูกหนี้ที่อยากแก้หนี้จริง

“คีย์ซักเซสของการตามหนี้รายย่อย ขึ้นอยู่กับกระบวนการบริหารจัดการหนี้ได้รวดเร็วแค่ไหน สำคัญคือข้อมูลลูกหนี้ ในส่วนของรายจ่ายติดตามหนี้หรือค่าฟีจะเป็นอัตราคงที่ (Fixed Rate) แต่ละแห่งจะไม่เท่ากันขึ้นกับ NPL Recovery Rate (อัตราการทวงคืนหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้) ในส่วนของเคทีซี NPL Recovery Rate จะอยู่ที่ 38-40%”

[caption id="attachment_157793" align="aligncenter" width="503"] คลินิกแก้หนี้ : เปิดทางลูกหนี้กลับใจ นายแบงก์ห่วงตามทวงยังยาก คลินิกแก้หนี้ : เปิดทางลูกหนี้กลับใจ นายแบงก์ห่วงตามทวงยังยาก[/caption]

++ชี้หนี้เสียรายย่อยยังเพิ่ม
ด้านนายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) กล่าวว่า แม้รัฐบาลมีความตั้งใจที่จะแก้หนี้ภาคประชาชน แต่จากฐานข้อมูลเครดิตบูโร พบว่าประชากร 70 ล้านคน เป็นหนี้อยู่ประมาณ 21 ล้านคน ค่ากลางของหนี้ต่อหัวอยู่ที่ 150,000 บาท สูงขึ้นกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบปี 2552 ที่ต่อหัวอยู่ที่ 70,000 บาท ขณะที่ระบบมีหนี้เสียอยู่ที่ 4-5% หรือประมาณ 4-5 แสนล้านบาท จากมูลหนี้ทั้งระบบรวม 10 ล้านล้านบาท

[caption id="attachment_19648" align="aligncenter" width="344"] สุรพล โอภาสเสถียร สุรพล โอภาสเสถียร[/caption]

“คนมีหนี้ สูงสุดจะอยู่ในกลุ่มคนที่อายุน้อย โดย 1 ใน 2ของคนอายุประมาณ 30 มีหนี้ส่วนใหญ่จากสินเชื่อบุคคล และ/หรือบัตรเครดิต และหนี้ต่อหัวเร่งขึ้นเร็วสุด พบเป็นคนช่วงปลายอายุ 20 ปี และไม่ได้ลดลงแม้จะเข้าสู่วัยใกล้เกษียณ”

คลินิกแก้หนี้ ถือเป็นโครงการนำร่องการแก้ปัญหาหนี้ส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันให้กับประชาชนรายย่อย เป็นประโยชน์และโอกาสกับลูกหนี้ที่มีความตั้งใจจริงจะตั้งตัวใหม่ ความสำเร็จของโครงการนี้ยังอาจนำไปสู่การต่อยอดการแก้ไขหนี้ในกลุ่มอื่นๆ อาทิ อาจครอบคลุมกลุ่มหนี้นอนแบงก์ แต่ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร การมีโครงการนี้ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,268 วันที่ 8 - 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560