“พีทีจี”ทุ่ม 5 พันล้านรุกธุรกิจพลังงานครบวงจร

10 ก.พ. 2560 | 06:24 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

“พีทีจี” ตั้งเป้าขยายสถานีบริการน้ำมันครบ 1,800 สาขาทั่วประเทศ มุ่งเพิ่มจำนวนผู้ถือบัตร PT Max Card เป็น 7.4 ล้านสมาชิก พร้อมเปิดตัวแอพพลิเคชั่นที่ชื่อว่า “พีที โมบาย แอพลิเคชั่น” สนองตอบทุกไลฟ์สไตล์และเข้าถึงใจลูกค้าทั่วประเทศมากขึ้น พร้อมทุ่มเงินลงทุน 5,000 ล้านบาท ก้าวสู่ผู้นำธุรกิจบริการด้านพลังงานแบบครบวงจร

นายพิทักษ์  รัชกิจประการ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG  เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจในปี 2560 ตั้งเป้าสร้างปริมาณการขายเพิ่มขึ้นราว 40% เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่มีปริมาณการขายรวมอยู่ที่ 2.9 พันล้านลิตร ซึ่งในปีนี้ เรามีแผนดำเนินธุรกิจที่สร้างความแข็งแกร่งในอนาคต กับธีมที่มีชื่อว่า “Age of Innovation” หรือการปรับใช้นวัตกรรมเพื่อนำแบรนด์มุ่งสู่การผู้นำธุรกิจพลังงานครบวงจร ซึ่งมีองค์ประกอบ 3 ส่วนด้วยกัน คือ ส่วนแรก คือ การใช้เทคโนโลยี SYN4MAX ในการช่วยผลิตน้ำมันเครื่องคุณภาพสูง พีที แมกซ์นิตรอน ส่วนที่สองคือ การเปิดตัวแอพพลิเคชั่น “พีที โมบาย แอพพลิเคชั่น” เพื่อให้ความสะดวกสบายแก่ลูกค้า และท้ายสุดคือการใช้องค์ความรู้จากพาร์ทเนอร์อย่าง “ซัปโปโร” จากประเทศญี่ปุ่นเพื่อนำเอานวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีมาผลิตพลังงานทดแทนอย่างเอทานอล โดยปีนี้วางงบลงทุนมูลค่าสูงถึง 5,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการลงทุนในการขยายและปรับปรุงธุรกิจหลัก 3,500 ล้านบาท ธุรกิจ Non-oil  500 ล้านบาท และธุรกิจใหม่ 1,000 ล้านบาท ในส่วนของสถานีบริการน้ำมัน ปัจจุบันเรามีจำนวนกว่า 1,400 สาขา ภายในสิ้นปีนี้เราตั้งเป้าว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,800 สาขาทั่วประเทศ อีกทั้งยังมุ่งเพิ่มจำนวนผู้ถือบัตร PT Max Card เป็น 7.4 ล้านสมาชิก เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่มีจำนวน 5.6 ล้านสมาชิก

“ในปี 2560 หากพีทีจีสามารถขยายสถานีบริการตามที่วางเป้าหมายไว้ เราจะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของจำนวนสถานีบริการเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ในตลาด และถ้าปริมาณการขายเป็นไปตามเป้าหมาย คือ เติบโตขึ้น 40% เมื่อเทียบกับปี 2559 เราน่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดขึ้นเป็นอันดับ 4 ในตลาด นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าหมายว่าจะเข้ามาดูแลผู้บริโภคในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากขึ้น” นายพิทักษ์ กล่าว

สำหรับปีนี้ เราจะมุ่งเน้นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง ก็คือ กลุ่มธุรกิจ นอน-ออยล์ (Non-Oil) (รายได้ที่ไม่ได้มาจากการขายน้ำมัน) เราตั้งเป้าไว้ว่าจากปัจจุบันที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2,700 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 155% กาแฟพันธุ์ไทยจะมีสาขาครบ 100 สาขา ในกลางปีนี้ และจะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 200 สาขาทั่วประเทศ ภายในสิ้นปี 2560 ซึ่งจะไม่ได้จำกัดพื้นที่แค่เพียงในสถานีบริการน้ำมันเท่านั้น แต่เราจะขยายไปตามห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า มหาวิทยาลัย และสนามบินต่างๆ เพื่อทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น ตลอดจนเพิ่มจำนวนร้านแม็กซ์ มาร์ท (Max Mart) เป็น 140 สาขาอีกด้วย

“และเพื่อให้เข้ากับธีม Age of Innovation ปีนี้พีทีจียังจะเปิดตัวแอพพลิเคชั่นที่ชื่อว่า “พีที โมบาย แอพลิเคชั่น” ที่มาพร้อมกับความทันสมัยและสามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้คนในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าแม็กซ์การ์ด (Max card) อีกทั้งยังจะมีการเปิดตัวแคมเปญใหม่ๆ เพื่อให้ผู้บริโภครู้จักและเกิดความนิยมแบรนด์ในวงกว้าง จากที่ปัจจุบัน เรามีเฟซบุ๊คที่มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา มีแอพพลิเคชั่น LINE ที่ปัจจุบันมีสมาชิกถึง 10 ล้านราย รวมถึงมี Line Sticker ซึ่งมียอดดาวน์โหลดถึง 6 ล้านครั้ง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าเทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ๆ ที่เราเลือกใช้ล้วนเข้าถึงฐานลูกค้าและสร้างการรับรู้ได้ทันต่อเหตุการณ์อย่างแท้จริง” นายพิทักษ์กล่าว

นายพิทักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้นอกจากโครงการอุตสาหกรรมปาล์ม คอมเพล็กซ์ (Palm Complex) ที่ล่าสุดจะสามารถเริ่มกระบวนการผลิตไบโอดีเซลได้เต็มรูปแบบในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้แล้ว ธุรกิจที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะเข้ามาเสริมก็คือเอทานอล ล่าสุดได้ประกาศจับมือกับบริษัท เอี่ยมบูรพา จำกัด ก่อสร้างโรงงานผลิตเอทานอลจากกากมันสำปะหลัง ซึ่งมีกำลังผลิต 2 แสนลิตรต่อวัน มูลค่าการลงทุน 1.5 พันล้านบาท ผ่านบริษัทร่วมทุน "อินโนเทค กรีน เอ็นเนอยี"  ซึ่งพีทีจีถือหุ้น 60% โดยใช้เทคโนโลยีของ "ซัปโปโร โฮลดิ้ง" จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต  ช่วยลดต้นทุน เสริมศักยภาพการทำกำไรในระยะยาว นอกจากนี้ การลงทุนในบริษัท อาม่า มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ AMA ผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการขนส่งสินค้าเหลวทางทะเลและทางบก ซึ่งเข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการบริหารจัดการระบบขนส่งให้ได้ประโยชน์สูงสุด และยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่บริษัททั้งในปัจจุบัน และอนาคต ส่วนธุรกิจด้านโลจิสติกส์ที่ได้ร่วมทุนกับบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด หรือ FPT ผู้ให้บริการขนส่งน้ำมันอากาศยาน และน้ำมันภาคพื้นดินผ่านระบบท่อ โดยถือเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างระบบท่อที่ต่อขึ้นไปทางภาคเหนือ ซึ่งก็จะเข้ามาช่วยสนับสนุนระบบขนส่งของบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น คาดว่าโครงการจะเสร็จภายในปี 2562

ทั้งนี้ ภาพรวมธุรกิจทั้งปี 2559 ตัวเลขอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ โดยเรามียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 28% เมื่อเทียบกับปี 2558 ปัจจัยหนึ่งมาจากการที่เรามีสถานีบริการและยอดขายต่อสถานีบริการที่เติบโตขึ้น ยิ่งกว่านั้นเรายังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่อง พีที แม็กซ์นิตรอน (PT Maxnitron) ซึ่งเราตั้งเป้าหมายยอดขายกว่า 6 ล้านลิตร นอกจากนี้ เรายังมีสถานีบริการก๊าซ แอลพีจี เข้ามาเติมเต็มสำหรับการให้บริการ ซึ่งผลประกอบการเติบโตสวนทางกับอุตสาหกรรม แสดงให้เห็นถึงผลการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้บริการ และการให้ความสนใจในบัตร PT Max Card เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” นายพิทักษ์ กล่าว