อ.ส.ค.เปิดกลยุทธ์บุกตลาดปี 60 ชู “นมไม่ผสมนมผง”

09 ก.พ. 2560 | 09:03 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย เผยกลยุทธ์บุกตลาดปี 2560 ชูจุดแข็งนมสดจากธรรมชาติไม่ผสมนมผง รับกระแสคนรักสุขภาพ ส่งภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “มิลค์ บ็อก” (Milk Box) เพื่อกระตุ้นการมองหาสัญลักษณ์ “นมไม่ผสมนมผง”

ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ผู้ผลิตนมไทย-เดนมาร์คและผู้นำตลาดนมยูเอชที เปิดเผยว่าในปี 2559 ที่ผ่านมา ตลาดนมยูเอชทีกลุ่มนมทั่วไปมีมูลค่าตลาดรวม 11,200 ล้านบาท โดย อ.ส.ค. เป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาด ด้วยส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 45 และอ.ส.ค. มีการเติบโตร้อยละ 4 จากปี 2558 ซึ่งตลาดนมยูเอชที (UHT Milk) เป็นเซ็กเมนต์ที่มีมูลค่า 16,600 ล้านบาท (ร้อยละ 26.6) ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของตลาดรวมทั้งหมดที่มีมูลค่า 62,500 ล้านบาท

“นมไทย-เดนมาร์ค หรือ นมตราวัวแดงยังเป็นที่นิยมอันดับ 1 ในตลาดนมยูเอชที มีจุดแข็งที่รสชาติอร่อยหอมมัน เนื่องจากเราคัดสรรน้ำนมที่มีคุณภาพสูงจากแม่วัวที่มีสุขภาพดี และใช้น้ำนมโคสดแท้จากธรรมชาติ ไม่มีการผสมนมผง ทั้งนี้ในปี 2560 เราจะบุกตลาดมากขึ้น และตั้งเป้าที่จะสร้างรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมรวมทุกประเภทเป็นมูลค่า 9,055 ล้านบาท แบ่งเป็นนมพาณิชย์ 8,069 ล้านบาท และนมโรงเรียน 986 ล้านบาท คิดเป็นยอดขายเติบโตร้อยละ 7 จากปี 2559 พร้อมทั้งย้ำจุดยืนความเป็นผู้นำทั้งในด้านผลิตภัณฑ์คุณภาพ โดยจะยังคงเน้นจุดเด่นเรื่องการเป็นนมโคสดแท้จากธรรมชาติไม่ผสมนมผง ซึ่งมีแคลเซียมตามธรรมชาติในปริมาณสูงและร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ”ดร. ณรงค์ฤทธิ์กล่าว

เพื่อสร้างความรู้และกระตุ้นให้ผู้บริโภคใส่ใจในการเลือกซื้อนมที่จะให้ประโยชน์จากธรรมชาติแท้ๆ อ.ส.ค. ได้เตรียมออกอากาศภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ชื่อ “มิลค์ บ็อก” (Milk Box) ที่จะเน้นการสื่อสารเรื่องประโยชน์ของนมโคสดแท้ที่ไม่ผสมนมผง และกระตุ้นให้ผู้บริโภคมองหาสัญลักษณ์ “ไม่ผสมนมผง” รวมทั้งเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มที่ใส่ใจในการรักษาสุขภาพและเลือกสรรอาหารที่ไม่มีการปรุงแต่ง โดยการสื่อสารผ่านช่องทางหลากหลายทั้งโทรทัศน์โฆษณาในโรงภาพยนตร์และสื่อดิจิตอลที่จะเจาะถึงกลุ่มป้าหมายหลักคือกลุ่มแม่และวัยรุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากการสื่อสารจุดแข็งเรื่องการไม่ผสมนมผงแล้ว อ.ส.ค. ยังจะดำเนินกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก โดยการขยายช่องทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบัน อ.ส.ค. จำหน่ายผลิตภัณฑ์นมผ่าน 3 ช่องทางหลัก คือ Traditional Trade ซึ่งมีผู้จัดจำหน่ายรายจังหวัด จำนวน 29 ราย การจำหน่ายผ่าน Modern Trade จำนวน 8 ราย และการตลาดต่างประเทศ จำนวน 5 ราย

ขณะดียวกันก็ร่วมมือกับธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหาร อาทิ แมคโดนัลด์ ดอยคำ แมกซ์แวลู วิลล่ามาร์เก็ต และโกลเด้นเพลส  เพื่อนำนมไทย-เดนมาร์คไปจำหน่ายและเป็นส่วนผสมในอาหารที่จำหน่ายในร้าน หรือทำกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกัน รวมถึงการพัฒนาช่องทางการขายสู่กลุ่มสินค้าแช่เย็น เช่น โยเกิร์ตและนมพาสเจอไรส์เพิ่มขึ้น

“เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่จะเติบโตในอัตราร้อยละ 7 อ.ส.ค. จะยังคงดำเนินกิจกรรมทางการตลาดที่ทำให้นมไทย-เดนมาร์ค รักษาความเป็นผู้นำได้อย่างต่อเนื่อง คือ มุ่งเน้นจุดยืนการเป็นนมโคสดแท้ 100% ไม่ผสมนมผง รวมทั้งทำหน้าที่ผู้นำในการสนับสนุนการพัฒนามาตรฐานน้ำนมดิบ มาตรฐานการผลิต และการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการรับซื้อน้ำนมดิบเพื่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมนมไทยทั้งวงการ ที่จะสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่ผู้บริโภค และก้าวสู่การเป็นนมแห่งชาติในอีก 5 ปีข้างหน้า”ดร.ณรงค์ฤทธิ์กล่าว

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 55 ปีที่ผ่านมา อ.ส.ค. ได้มีบทบาทหลักในฐานะผู้นำด้านเกษตรโคนม โดยผ่านกิจกรรมหลักตามแนวคิด 3 ดี ได้แก่ “พันธุ์ดี” การพัฒนาและคัดเลือกพันธุ์โคนมที่ดีเหมาะแก่สภาพแวดล้อมในประเทศไทยรวมทั้งให้น้ำนมที่มีคุณภาพในปริมาณสูงมีความทนทาน“เลี้ยงดี” หรือการจัดการเลี้ยงโคนมที่มีระบบมาตรฐาน ด้วยวิธีธรรมชาติไร้สารเคมีในอาหาร และ “สอนดี” หรือการฝึกอบรมเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทั้งในภาคทฤษฎีและปฏิบัติเพื่อให้มีความรู้ครบวงจรตั้งแต่การจัดการฟาร์ม การดูแลสุขภาพโคนม การผลิตน้ำนมที่สะอาดมีคุณภาพ รวมทั้งความรู้เฉพาะทาง เช่น การผสมเทียมโคนมและเครื่องรีดนม เป็นต้น

“อ.ส.ค. จะยังคงดำเนินภารกิจตามวัตถุประสงค์หลักของการก่อตั้งแรกเริ่ม คือเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาอุตสาหกรรมโคนมของประเทศไทย ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงเห็นว่าการเลี้ยงโคนมนอกจากจะทำให้เกษตรกรมีอาชีพ มีรายได้มั่นคงแล้ว ยังเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้คนไทยได้มีอาหารที่ดีมีคุณภาพในราคาไม่แพง รวมทั้งยังสามารถพึ่งพาตนเองได้ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งทางอ.ส.ค. ได้น้อมนำพระราชดำริมาปรับใช้เป็นนโยบายนมสร้างชาติในปัจจุบัน” ดร.ณรงค์ฤทธิ์กล่าวสรุป