ไทย-เมียนมาจับมือเดินหน้ามุ่งสู่การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ
Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นำคณะนักธุรกิจไทย เข้าร่วมคณะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เยือนเมียนมาอย่างเป็นทางการ โดยจะเข้าเยี่ยมคารวะประธานาธิบดี และหารือกับนางอองซาน ซู จี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ พร้อมนี้ ทั้งสองฝ่ายพร้อมจับมือเดินหน้ามุ่งสู่การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจและตั้งเป้าหมายบรรลุมูลค่าการค้าระหว่างกันเป็นสองเท่าภายในห้าปี (ปี 2564)
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้เข้าร่วมคณะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เยือนเมียนมาอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 2-3 กุมภาพันธ์ 2560 ณ กรุงเนปิดอว์ และเมืองย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยในการเยือนครั้งนี้ จะมีการเยี่ยมคารวะนายติน จ่อ ประธานาธิบดี และหารือกับนางออง ซาน ซู จี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ เพื่อกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้า
การค้ารวมไทย-เมียนมา ปี 2559 มูลค่าประมาณ 6,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเมียนมาเป็นคู่ค้าอันดับที่ 6 ของไทยในอาเซียน ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าหมายให้มูลค่าการค้าสองฝ่ายบรรลุสองเท่าภายในห้าปี (ปี 2564) ซึ่งไทยให้ความสำคัญเรื่องการส่งเสริมการค้าการลงทุนบริเวณชายแดน ผ่านการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การจัดฝึกอบรมและการสร้างเครือข่าย SMEs การให้ความช่วยเหลือเมียนมาในโครงการพัฒนาระบบออนไลน์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ให้สามารถตรวจสอบและออกเอกสาร Form D ได้อย่างสะดวก ณ บริเวณด่านชายแดนเมียนมา-ไทย โดยโครงการนี้ประกอบด้วยการพัฒนาบุคลากร รวมถึงการสนับสนุนเครื่องมือ อุปกรณ์และซอฟต์แวร์ นอกจากนี้ ไทยจะเชิญฝ่ายเมียนมาเข้าร่วมงานมหกรรมการค้าชายแดนแม่สอด ในเดือนมีนาคม 2560 อีกด้วย
นางอภิรดี ยังได้กล่าวว่า ในการเยือนครั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้นำนักธุรกิจรายสำคัญของไทย 22 ราย จากสาขาก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ เกษตรอุตสาหกรรม เทคโนโลยีสื่อสารและนวัตกรรม สาธารณูปโภค พลังงาน ค้าปลีก อุปโภคบริโภค การเงิน ธุรกิจบริการ และการศึกษา เป็นต้น เข้าหารือกับผู้บริหารระดับสูงภาครัฐและเอกชนระดับใหญ่ของเมียนมา ขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนในภาคส่วนธุรกิจที่จะเกื้อกูลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ และเชื่อมโยง CLMVT (กัมพูชา สปป. ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย) กับจีน เอเชียตะวันออก เอเชียใต้ และภูมิภาคอื่น ของโลก
ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายไทยและเมียนมา ได้ร่วมกันเป็นสักขีพยาน การลงนามความร่วมมือระหว่างภาครัฐต่อรัฐ และเอกชนต่อเอกชน โดยในส่วนของเอกชนมีการลงนาม MOU กว่า 15 ฉบับ ครอบคลุมธุรกิจบริการและการลงทุนที่ไทยมีความเชี่ยวชาญ งานวิจัย เช่น พลังงาน การแพทย์ สื่อโทรทัศน์ ธนาคาร อุตสาหกรรมพลาสติก และอุตสาหกรรมน้ำตาล เป็นต้น โดยไทยให้ความช่วยเหลือและให้ความร่วมมือกับเมียนมาในการพัฒนาผู้ประกอบการ พัฒนาภาคการผลิต สาธารณูปโภค การสื่อสาร เป็นต้น
MOU ที่จะลงนามครั้งนี้ เช่น MOU เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการทำธุรกิจให้กับ SME เมียนมา โดยธนาคารกสิกรไทยร่วมกับสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมของเมียนมา (UMFCCI) จัดอบรมวางรากฐานความรู้ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าถึงแหล่งเงินลงทุนจากธนาคารในอนาคต และสร้างฐานข้อมูล SME ที่มีประสิทธิภาพในภูมิภาคเพื่อเพิ่มโอกาสในการจับคู่ธุรกิจระหว่างกัน; MOU ด้านการอำนวยความสะดวกแก่ชาวเมียนมาในการส่งเงินกลับบ้าน ระหว่างธนาคารรัฐเมียนมาร์ (Myanmar Economic Bank: MEB) และธนาคารกรุงไทย เพื่อช่วยเหลือแรงงานเมียนมาที่ทำงานในประเทศไทยโอนเงินกลับประเทศ; MOU เพื่อการร่วมทุนสร้างโรงงานถุงพลาสติกที่ใหญ่ที่สุดในเมียนมา ระหว่าง Thai plastic bags industry (TPBI) กับ HMWE Plastic Bag Enterprise ของเมียนมา เป็นต้น
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังร่วมกับ BOI จัดหารือความร่วมมือระหว่างนักธุรกิจรายจากไทย ผู้ประกอบการไทยที่ลงทุนในเมียนมา และสมาชิกหอการค้าและอุตสาหกรรมเมียนมา ภายใต้กิจกรรม Thailand - Myanmar Business Cooperation ณ เมืองย่างกุ้ง โดยมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีหน่วยงานภาครัฐและนักธุรกิจของสองประเทศเข้าร่วมมากกว่า 300 คน ซึ่งการรวมตัวครั้งใหญ่นี้จะช่วยกระชับความสัมพันธ์และสร้างเครือข่ายธุรกิจใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในประเทศเมียนมา และยังมีการหารือ 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และพลังงาน เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาอุปสรรคและหาแนวทางร่วมมือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน
ในการเยือนครั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์เชื่อมั่นว่า จะเป็นการตอกย้ำความสัมพันธ์การค้าไทย-เมียนมา อย่างแน่นแฟ้น สร้างความเชื่อมั่นและความจริงใจต่อเมียนมาว่า ไทยพร้อมเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนกับเมียนมาต่อไป