พพ.เผยปี’60เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนในเชื้อเพลิงทุกชนิด
พพ.โชว์แผนงานผลักดันการใช้พลังงานทดแทนปี’60 มุ่งเป้าเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนในเชื้อเพลิงทุกชนิด มั่นใจนโยบายการส่งเสริมมาถูกทาง หลังประชาชนตอบรับส่งผลพฤติกรรมปรับเปลี่ยนจากผู้ใช้มาเป็นผู้ผลิต
นายประพนธ์ วงษ์ท่าเรือ อธิบดีกรมพัฒนาทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.)เปิดเผยว่า พพ.ยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินนโยบายผลักดันแผนพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก หรือ AEDP 2015 (ปี2558-79)ที่มีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนเป็นร้อยละ 30 ของการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายในปี 2579 โดยในปี 2560 จะผลักดันการใช้พลังงานทดแทน ทั้งใน 3 ลักษณะ คือ 1) การใช้พลังงานทดแทนในภาคการผลิตไฟฟ้า จะมีการเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนแบบประมูลแข่งขัน ทั้ง VSPP และ SPP มีการผลักดันให้โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ผลิตไฟฟ้าให้เต็มประสิทธิภาพ 2) การใช้พลังงานทดแทนในภาคความร้อน จะส่งเสริมให้มีการใช้เชื้อเพลิงพลังงานทดแทน เช่น ไม้สับ เชื้อเพลิงอัดเม็ด ขยะอัดเม็ด ในโรงงานอุตสาหกรรม และ 3) การใช้พลังงานทดแทนในรูปแบบเชื้อเพลิงชีวภาพ (เอทานอลและไบโอดีเซล) จะมีการผลักดันให้มีการใช้เพิ่มมากขึ้น
พพ.ได้กำหนดแนวทางการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน และพลังงานทางเลือกในปี 2560 เพื่อให้เป็นไปตามแผน AEDP 2015 โดยได้กำหนดเป้าหมายสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนในปี 2560 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 14.5 ของการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ซึ่งอยู่ร้อยละ 13.8 และมั่นใจว่าจะสามารถผลักดันการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกให้เป็นไปตามเป้าหมายได้
นายประพนธ์ กล่าวต่อไปว่า แม้ว่าพลังงานทดแทนเป็นพลังงานที่มีต้นทุนสูงกว่าพลังงานหลัก แต่เมื่อคิดคำนวณถึงประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับ ทั้งในด้านการใช้วัตถุดิบที่สามารถหาได้ภายในประเทศ ช่วยลดการสูญเสียเงินตราออกนอกประเทศ รวมทั้งยังสามารถลดมลภาวะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ ถือได้ว่ามีความคุ้มค่า ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งพลังงานที่ได้ ยังสามารถนำมาใช้พัฒนาประเทศ เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม การที่ พพ. ได้มีโครงการต่างๆ เข้าไปสนับสนุนและ ส่งเสริมชุมชนทั่วประเทศที่มีศักยภาพของวัตถุดิบ เพื่อนำมาสู่การผลิตเชื้อเพลิงพลังงานทางเลือก ส่งผลให้ปัจจุบันชุมชนต่างๆ เริ่มหันมาให้ความสำคัญ และเกิดการเรียนรู้ที่จะพัฒนาชุมชนของตนเอง และยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยพลังงานทดแทนที่หาได้ในท้องถิ่น สามารถลดการใช้พลังงานหลักในระยะยาวได้ ซึ่งจะส่งผลให้ลดการสูญเสียเงินตรา ทั้งในด้านการจัดซื้อเชื้อเพลิง เครื่องจักรและอุปกรณ์จากต่างประเทศ ทำให้ประเทศมีความมั่นคงด้านพลังงานสืบไป