แบรนด์ดังญี่ปุ่นรุกตลาดเบเกอรี่-เค้ก2.2หมื่นล. ใบหยกดึง‘พาโบล’ตั้งสาขาใจกลางพารากอน

24 พ.ย. 2559 | 01:00 น.
ชีสเค้กแบรนด์ดังพาเหรดเข้ายึดตลาดไทย กลุ่มใบหยกซุ่มโหมโรงเปิดตัว“พาโบล” ใจกลางสยามพารากอนคิวทะลักสร้างยอดขายกว่า 4,000 ชิ้นต่อวัน เล็งขยายสาขาเพิ่มทันที ฟาก “ดีบี กรุ๊ป” ไม่น้อยหน้า เล็งต่อยอด “เลอ ทา โอะ” สู่ร้านคาเฟ่

นายปิยะเลิศ ใบหยก รองประธานกรรมการกลุ่มโรงแรมใบหยก และประธานกลุ่มบริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง จำกัด ผู้นำเข้าแบรนด์ "ชีสทาร์ต พาโบล" (PABLO) จากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าบริษัทได้รับสิทธิ์จากบริษัท โตโรคียะ โฮลาเธ่ทา จำกัด (DoroquiaHolathetaCo.,Ltd )ประเทศญี่ปุ่น ในการนำเข้าแบรนด์ชีสทาร์ต "พาโบล" (PABLO) ชีสเค้กชื่อดังจากเมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเป็นระยะเวลา 10 ปี ซึ่งไทยถือเป็นประเทศลำดับที่ 4 ของการขยายตลาดนอกประเทศญี่ปุ่น ต่อจาก ประเทศเกาหลีใต้ ไต้หวัน และฟิลิปปินส์ โดยเปิดสาขาแรกที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

บริษัทได้ใช้งบลงทุนกว่า 50 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าแฟรนไชส์ ค่าตกแต่งร้าน ค่าดำเนินการ ค่าเช่าสถานที่ และงบการตลาด สำหรับแผนการประชาสัมพันธ์ บนพื้นที่ราว 100 ตารางเมตร โดยจุดเด่นของร้านคือ มีเมนูที่หลากหลายทั้งชีสทาร์ต 3 รสชาติ,ชีสทาร์ตขนาดเล็ก ,เมนูขนมคุกกี้แห้ง 10 รายการ และเมนูน้ำ 10 รายการ โดยชีสเค้กมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 75-415 บาท โดยปัจจุบันมียอดขายราว 4,000 ชิ้นต่อวัน

สำหรับในปีหน้าบริษัทได้เตรียมงบประมาณการลงทุนราว 70-80 ล้านบาทในการขยายสาขาและการทำตลาดในประเทศไทย โดยจะเปิดให้บริการสาขา 2 ในช่วงวันวาเลนไทน์ เบื้องต้นอยู่ระหว่างศึกษาโลเกชันในศูนย์การค้าที่มีศักยภาพ โดยคาดการณ์ว่าตลอดทั้งปีจะสามารถขยายได้ทั้งสิ้น 3 แห่ง ซึ่งเป็นสาขาในเขตกรุงเทพทั้งหมด ขณะที่ในส่วนของการสร้างแบรนด์จะให้ความสำคัญกับการขยายสาขาในทำเลที่มีศักยภาพควบคู่กับการทำแคมเปญโปรโมชั่นเมนูต่างๆหมุนเวียนตามช่วงเทศกาล โดยทั้งหมดเป็นเมนูนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น 100% ซึ่งจะเริ่มเทศกาลแรกคือเทศกาลวาเลนไทน์ปีหน้า

กลยุทธ์การทำตลาดจะเน้นผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ควบคู่กับการโฆษณาผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆและการจัดอีเวนต์เพื่อสร้างแบรนด์ โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายไปที่นักศึกษา วัยรุ่นย่านใจกลางเมือง และลูกค้ากลุ่มครอบครัว รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยบริษัทวางเป้าหมายที่จะมีรายได้เฉลี่ยปีละ 150 ล้านบาท

"ต้องยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมาธุรกิจร้านขนมเมืองไทยเป็นอีกหนึ่งเทรนด์แฟชั่นที่มาเร็วไปเร็ว ดังจะเห็นได้จากปรากฏการณ์ต่อคิวยาวเหยียดในหลายแบรนด์ที่เป็นกระแสเฉพาะช่วงที่เข้ามาทำตลาดใหม่ๆ ซึ่งแน่นอนว่าพาโบลไม่ได้ต้องการให้เป็นเช่นนั้น

ด้านนางสาวดลนภา ธรรมวัฒนะ" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีบี กรุ๊ป จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายร้าน"เลอ ทา โอะ" กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทนำแบรนด์ชีสเค้กจากประเทศญี่ปุ่น "เลอ ทา โอะ" เข้ามาทำตลาดช่วงปีที่ผ่านมา ล่าสุดบริษัทมีแผนขยายการการให้บริการร้านเลอ ทา โอะไปยังรูปแบบของ คาเฟ่ ในศูนย์การค้าสยามพารากอน บนพื้นที่ 70 ตร.ม.ภายใต้งบลงทุน 5-10 ล้านบาท เพื่อเป็นการต่อยอดทางธุรกิจอีกทั้งยังเป็นรองรับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายยุคใหม่ที่อยากเข้ามานั่งรับประทานภายในร้าน และคาดว่าจะขยายสาขเฉลี่ย 1-2 สาขาต่อปีในทำเลที่มีศักยภาพ

"ไทยถือเป็นประเทศที่ 3 ที่แบรนด์เลอ ทา โอะเข้ามาทำตลาดต่อจากไต้หวันและเกาหลี เพราะบริษัทแม่เล็งเห็นศักยภาพทางการเติบโต ประกอบกับ"เลอ ทา โอะ" เป็นที่รู้จักของกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยที่นิยมซื้อกลับมาเป็นของฝากจากประเทศญี่ปุ่นอยู่แล้วทำให้มองโอกาสทางการเติบโต โดยมีราคาจำหน่ายที่ต่างจากที่ประเทศญี่ปุ่นเพียง 100-200 บาทเท่านั้น"

บริษัทมีแผนขยายไลน์ธุรกิจไปยังกลุ่มเบเกอรี่ในครึ่งปีหลังของปีหน้า เพื่อสร้างความหลากหลายให้ธุรกิจในเครือและมีสินค้าครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยจะเป็นรูปแบบของการนำเข้าไลน์สินค้าจากบริษัทแม่ของแบรนด์เลอ ทา โอะ อย่าง บริษัทเคซีซีฯ จากญี่ปุ่นเข้ามาทำตลาดในไทย โดยมีระดับราคาตั้งแต่หลัก 10 บาทขื้นไป ซึ่งมีการทำตลาดอยู่แล้วในประเทศญี่ปุ่นภายใต้แบรนด์ "โดเรมอ DOREMO" เบื้องต้นอยู่ระหว่างการพิจารณาชื่อแบรนด์เพื่อใช้ในการทำตลาดในประเทศไทย โดยวางเป้าหมายขยายสาขาที่ 3-5 แห่งในปีหน้า ภายใต้งบประมาณ 3-5 ล้านบาทต่อสาขา
ภาพรวมของบริษัทในปีหน้าคาดว่าจะมีรายได้ราว 50 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากเลอ ทา โอะ 30 ล้านบาท และแบรนด์ขนมปัง 20 ล้านบาท ขณะที่เป้าหมายระยะยาว 3 ปีนับจากนี้ ตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้ 70 ล้านบาท โดยปัจจุบันภาพรวมตลาดเบเกอรี่และเค้กในไทยมีมูลค่าราว 2.23 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นขนมปัง 1.28 หมื่นล้านบาท เค้ก 5,000 ล้านบาทพายและขนมอบ 4,400 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องราว 7% มาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา โดยแนวโน้มต่อจากนี้คาดว่าจะเติบโตที่ 5% ต่อเนื่องจนถึงปี 2563

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,212 วันที่ 24 - 26 พฤศจิกายน 2559