เบอร์เกอร์คิงวาดเป้าโกย 1.7พันล. ชู ‘สแตนด์อะโลน’ โมเดลรุกตลาด

14 ต.ค. 2559 | 05:00 น.
เบอร์เกอร์คิง ปูพรมรุกตลาดจ่อเปิดสาขาสแตนด์อะโลน เพิ่ม 15 สาขาในปีหน้า พร้อมสยายปีกบุกอีสานหลังพบศักยภาพทางการเติบโต พร้อมอัดโปรโมชัน 59 บาทกระตุ้นตลาดต่อเนื่องหลังสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว วาดเป้าสิ้นปีโกยรายได้ 1,700 ล้านบาท

นายประพัฒน์ เสียงจันทร์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เบอร์เกอร์คิง (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือ ไมเนอร์ ฟู๊ด เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนขยายสาขาเบอร์เกอร์คิงปี 2560ไม่ต่ำกว่า 15 สาขา จากปีนี้ที่มีการขยายสาขาทั้งสิ้น 18 สาขา โดยจะเน้นการขยายสาขาในรูปแบบสะแตนอะโลนหรือไดรฟ์ธรูทั้ง 100% แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 7 สาขา และต่างจังหวัด 8 สาขา อาทิ จังหวัดอุดรธานี ขอนแก่น โคราช ระยอง ศรีราชา(ชลบุรี) และภูเก็ต ซึ่งทำให้ภายในสิ้นปีหน้าจะมีร้านเบอร์เกอร์คิง ทั้งหมด 87 สาขา แบ่งเป็นรูปแบบสแตนอะโลนและไดรฟ์ธรูประมาณ 45 สาขา ภายใต้งบประมาณการลงทุน 25 ล้านบาทต่อสาขา ส่วนสาขาในห้างสรรพสินค้าใช้งบลงทุน 12 ล้านบาทต่อสาขา

สำหรับ 3 โลเกชันหลักที่จะขยายเข้าไปได้แก่ เขตกรุงเทพชั้นใน ภาคใต้ และภาคตะวันออก เนื่องจากปัจจุบันลูกค้าของเบอร์เกอร์คิงกว่า 50% เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ขณะที่โลเกชันลำดับถัดไปที่บริษัทให้ความสำคัญได้แก่ภาคอีสานหลังมองพบว่ามีศักยภาพทางการเติบโตที่ดี ล่าสุดได้เข้าไปเปิดสาขาแรกที่ ศูนย์การค้า "เดอะมอลล์ โครราช" ไปเมื่อช่วงที่ผ่านมา ขณะที่การขยายสาขาเข้าไปในภาคเหนือนั้นขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจเป็นสำคัญหากมีกำลังซื้อที่ดีก็มีโอกาสขยายสาขาแต่หากไม่ดีก็ยังไม่มีแผนการขยายตลาดเข้าไป

นายประพัฒน์ กล่าวอีกว่า ภายใน 2 ปีนับจากนี้สัดส่วนร้านในรูปแบบสแตนอะโลนจะเพิ่มเป็น 50% จากจำนวนสาขาทั้งหมด โดยปัจจุบันเบอร์เกอร์คิงมีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 67 สาขา แบ่งเป็นสาขาในสนามบิน 13 สาขา และสาขานอกสนามบิน 54 สาขา อย่างไรก็ดีก่อนสิ้นปีนี้มีแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 5 สาขา ในปั๊มน้ำมันเชลล์ย่านกาญจนาภิเษก,ย่านบางนา และโครงการ เดอะ แจส ศรีนครินทร์ เป็นต้น พร้อมวางเป้าหมายภายใน 5 ปีนับจากนี้ จะมีร้านเบอร์เกอร์คิง ครบ 150 สาขาในประเทศไทย

นอกจากนี้เพื่อส่งเสริมกิจกรรมด้านการตลาดภายใต้โปรโมชันลดราคา เบอร์เกอร์ เหลือเพียง 59 บาท จากราคา 99 บาท และไอศกรีมซันเดย์ , พาย ราคา 19 บาท ที่เริ่มจัดตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาต่อเนื่องไปจนถึงปี 2560 เนื่องจากได้การตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค ทำให้มีผู้บริโภคเข้าใช้บริการเพิ่มมากขึ้น 5 % เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้ว่าจะมียอดการใช้จ่ายลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 220 บาทต่อคนต่อครั้ง จากเดิมอยู่ 230 บาทต่อคนต่อครั้ง แต่ภาพรวมยอดขายเพิ่มขึ้นมา

ขณะที่ในส่วนของตลาดต่างประเทศจะให้ความสำคัญกับการเข้าไปทำตลาดในประเทศเมียนมา มัลดีฟส์ และอินโดนีเซีย เป็นหลักหลังจากที่บริษัทได้รับสิทธิ์ในการเข้าไปขยายสาขาในประเทศเมียนมา ที่สนามบินย่างกุ้ง 1 สาขา ที่สนามบินอินโดนีเซีย 2 สาขา และที่มัลดีฟส์ 2 สาขาไปเมื่อช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ล่าสุดได้เตรียมเปิดสาขาในมัลดีฟส์เพิ่มอีก 1 สาขา เบื้องต้นอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมกับพาร์ตเนอร์

อย่างไรก็ตามภาพรวมของบริษัทในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตที่ 40% โดยคาดการณ์ว่าตลอดทั้งปีจะสามารถสร้างการเติบโตได้ 35% หรือปิดยอดขายราว 1,700 ล้านบาท มากกว่าเป้าเดิมที่วางไว้ 20%ซึ่งปัจจัยหลักที่ผลักดันให้บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้มากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องมาจากการขยายสาขาแบบก้าวกระโดด อีกทั้งเป็นผลมาจากการเดินหน้าจัดโปรโมชันราคา 59 บาทออกมารองรับตลาด

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,200 วันที่ 13 - 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559