แด่..นักรบผู้อาภัพ (1)

16 เม.ย. 2566 | 22:30 น.

แด่..นักรบผู้อาภัพ (1) คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดยกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นเทศกาลเต็งจ่านหรือตะจั่น ซึ่งก็เหมือนกับประเทศในแถบภูมิภาคนี้เกือบทุกประเทศ ที่ในอดีตก็ถือเอาวันที่ 13 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ของทุกประเทศในแถบนี้ เป็นที่น่าเสียใจและเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ปีนี้พอเริ่มตั้งแต่เข้าสู่วันหยุด ที่ทางการของประเทศเมียนมา ให้หยุดตั้งแต่วันที่ 8 เมษายนเป็นต้นมา เสียงปืนและเสียงระเบิดจากลูกปืนลูกระเบิดทั้งบนดินและจากทางอากาศ ได้กระหน่ำลงมาสู่ฝูงชนหลายๆ แห่งในประเทศเมียนมา 

มีผู้เสียชีวิตล้มตายไปเป็นจำนวนเยอะมาก อย่างที่เราทราบๆ กันดี ไม่ว่าจะเป็นการกระทำจากเหตุผลกลใดก็ตาม เราก็ต้องขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่สูญเสียบุคคลที่เป็นที่รักของครอบครัวของเขา ผมจึงใคร่ขอหยุดการเขียนบทความในเรื่องของเมียนมาสักสามอาทิตย์ เพื่อเป็นการไว้อาลัยแด่ผู้วายชนม์ชาวเมียนมาครับ 
           
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่หยุดเขียนเรื่องของประเทศเมียนมานี้ ผมขออนุญาตนำเอาเรื่อง  “แด่...นักรบผู้อาภัพ” ที่ผมคุ้นเคยมาเขียนแทน เพื่อให้แฟนคลับ ได้อ่านไปพลางๆ ก่อนสักสามอาทิตย์นะครับ หวังว่าจะสร้างความสนุกสนาน และได้สาระความรู้ในการอ่านนี้บ้างไม่มากก็น้อยครับ 

นักรบที่ผมจะนำมาเล่านี้ เป็นทหารของกองพล 93 ของกองทัพก๊กหมินตั๋ง ที่อาศัยอยู่ตามตะเข็บชายแดนทางภาคเหนือของไทยเรามาช้านาน จนกระทั่งสามารถได้รับสัญชาติไทยแล้ว แต่สัญชาติไทยที่ลูก-หลานของนักรบเหล่านี้ได้มา ไม่ใช่จะได้มาง่ายๆนะครับ ต้องแลกด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของตนเอง เพื่อแลกมาครับ 
      
ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหา ผมขออนุญาตแนะนำก่อนว่า ทำไมผมจึงไปทราบเรื่องราวหรือเกี่ยวพันอะไรกับชนชาติพันธุ์กลุ่มนี้ได้อย่างไร? ทั้งๆ ที่พ่อ-แม่ผมไม่ได้รู้จักมักจี่กับชนกลุ่มนี้เลย แต่เชื่อว่าแฟนคลับหลายท่านก็พอจะทราบแต่เพียงว่า ผมเคยขึ้นไปเรียนหนังสือจีนอยู่บนดอยแม่สลองมาก่อนเท่านั้น ต้องขอเล่าเกริ่นสั้นๆ นะครับว่า ตัวผมเองเป็นคนไทยเชื้อสายจีนแคะ ที่เกิดบนดินแดนอิสาน ที่บ้านโคกสวาย ตำบลสายออ อำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา ฟังดูก็รู้ว่าบ้านน๊อกบ้านนอก 

ในช่วงที่ผมอายุได้ 12 ขวบ ได้ไปอาศัยอยู่กับพี่สาวซึ่งเป็นลูกของลุง อยู่ที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เนื่องจากคุณพ่อของผมท่านกลัวคอมมิวนิสต์จนขี้ขึ้นสมอง เพราะช่วงที่ท่านยังอาศัยอยู่ที่ประเทศจีน ในระหว่างสงครามเปลี่ยนแปลงการปกครองของจีน ทุกครั้งที่มีทหารเข้าไปที่หมู่บ้านของคุณพ่อ ท่านจะต้องหนีไปนอนบนภูเขาในป่าลึก เพื่อหลบหนีการจับตัวไปเป็นทหารเสมอ พอมีโอกาสได้เดินทางเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในประเทศไทย เนื่องจากคุณพ่อไม่ได้รับการศึกษาเท่าไหร่ อีกทั้งไม่มีทุนรอนพอที่จะอยู่ในเมืองใหญ่ได้ 
 

ตัวท่านเองก็ยังหนีความหวาดกลัวไม่พ้น จึงได้หอบเอาลูกเมียไปอยู่บ้านนอก เพราะท่านเชื่อว่า หากประเทศไทยเรามีการเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์ คงต้องถูกบุกเข้ามาในเมืองก่อน ท่านจึงปรารถนาอยากให้ลูกที่เป็นผู้ชาย ต้องได้เรียนภาษาจีน เพื่อเอาไว้รักษาตัวรอดยามมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งฟังดูเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่อานิสงส์ของการคิดตื้นๆ ของท่าน ทำให้ผลดีมาตกที่ตัวผม ที่ได้มีโอกาสได้เรียนภาษาจีนจนสามารถพูด-อ่าน-เขียนได้ไม่แพ้คนจีนเลยทีเดียวครับ
       
ในช่วงที่ผมไปอยู่ที่อำเภอเชียงของ ผมได้ไปเข้าเรียนที่โรงเรียนจีนบ้านหัวเวียง ที่เป็นบ้านพักผู้อพยพของชาวจีนฮ่อหรือจีนยูนนาน ที่เป็นหนึ่งในแขนงของกองทัพ 93 ของพรรคก๊กหมินตั๋ง ที่อพยพมาจากมณฑลยูนนาน ทำให้ผมเริ่มต้นมีความพูกพันกับชนกลุ่มนี้นั่นเอง ผมเริ่มเรียนภาษาจีนที่นั่นเมื่อตอนปีพ.ศ.2510  

โดยเรียนตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 2 เพราะช่วงที่ไปอยู่ที่เชียงของใหม่ๆ ก็เริ่มเรียนในเวลากลางคืนก่อนเกือบปี ทำให้ไม่ต้องเรียนชั้นประถมปีที่ 1 ก็สามารถเข้าเรียนชั้นประถมปีที่ 2 ได้เลย แล้วก็กระโดดข้ามชั้นมาตลอด โดยในประถมปีที่ 3,5 ก็ไม่ได้เรียน ไปเรียนปีที่ 4 และปีที่ 6 เทอมต้นเท่านั้น จึงขึ้นไปเรียนต่อชั้นมัธยมต้นปีที่ 1 ที่บนดอยแม่สลองเลยครับ หลายท่านอาจจะคิดว่าผมเรียนเก่ง ต้องบอกว่าไม่ได้เรียนเก่งหรอกครับ เพียงแต่อายุมากแล้วยังต้องไปเรียนกับเด็กเล็กๆ คุณครูจึงให้ข้ามชั้นเรียนเลยครับ
     
ช่วงที่ขึ้นไปเรียนที่บนดอยแม่สลอง ถ้าถามว่ามีแรงบันดาลใจอะไรถึงขึ้นไปเรียนบนดอยในป่าลึกอย่างนั้น ต้องบอกว่าทุกๆ ปีพอโรงเรียนจีนเริ่มปิดเทอม ก็จะมีกลุ่มนักเรียนบนดอยแม่สลองลงมาจากดอย พวกเขาจะจับกลุ่มกันไปเที่ยวตามอำเภอต่างๆ ที่มีกลุ่มจีนฮ่อของกองกำลังกองพล 93 อยู่ แล้วก็จะขอแข่งขันบาสเกตบอลกับนักเรียนตามโรงเรียนจีนต่างๆ  เพื่อเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์กัน(ก็หาที่กินที่พักฟรีนั่นแหละครับ) 

ที่อำเภอเชียงของก็จะมีนักเรียนแม่สลองมาเป็นประจำทุกเทอม ผมเองเห็นนักบาสเกตบอลจากบนดอยแม่สลองทุกคน ล้วนแต่ตัวสูงใหญ่กันทุกคน ก็นึกแบบภาษาเด็กๆ ว่า คงเป็นเพราะบนดอยอากาศดี ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นคนตัวสูงใหญ่ หากเรามีโอกาสได้ไปอยู่บนดอย คงจะตัวสูงใหญ่เหมือนเขาบ้าง ก็แค่นั้นเองครับ นี่คือแรงบันดาลใจในการขึ้นไปเรียนบนดอยของผม ซึ่งทฤษฎีนี้เป็นเรื่องที่น่าขันมากครับ
         
พอจับพลัดจับผลูได้มีโอกาสขึ้นดอย ผมจึงได้คุ้นเคยกับกลุ่มชาวจีนฮ่อกลุ่มนี้มาก เพราะการเรียนที่บนดอย เราต้องพักอาศัยอยู่บนนั้นทั้งเทอม คือประมาณ 5 เดือนถึงจะได้กลับบ้านที่โคราชหนึ่งครั้ง เรียกว่าผมกลายเป็นคนจีนฮ่อคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะผมเป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางด้านภาษาอย่างดีมากคนหนึ่ง ไม่ว่าภาษาอะไรถ้าหากได้มีโอกาสคลุกคลีตีโมงด้วย ไม่นานก็สามารถพูดได้อย่างดีเลยครับ 

ก็อาศัยความใจกล้าหน้าด้านนี่แหละครับ ผมไม่เคยอายที่จะพูดผิดพูดถูก จึงทำให้เรียนรู้ภาษาได้เร็วมาก จนเพื่อนๆ ชาวจีนยูนนาน เขาคิดว่าผมเป็นคนจีนยูนนานไปแล้ว ต้องคอยบอกเขาว่าผมเป็นคนจีนแคะ และสามารถพูดภาษาจีนแคะ และภาษาจีนอื่นๆ ได้อีกไม่ต่ำกว่า 4 ภาษาครับ
         
อาทิตย์นี้ผมมัวแต่โม้เรื่องส่วนตัวมากไปหน่อย เรื่องของนักรบผู้อาภัพยังไม่ทันได้เล่าเลย ก็หมดหน้ากระดาษเสียแล้ว อาทิตย์หน้าผมจะขอเล่าต่อนะครับ ส่วนอาทิตย์นี้ต้องขอไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิตและผู้สูญเสียสามาชิกในครอบครัว ที่เป็นพี่น้องชาวเมียนมาผู้น่าสงสารอีกครั้งครับ