ในที่สุดเมียนมาก็ได้เปิดประตูประเทศ

15 ม.ค. 2566 | 21:30 น.

คอลัมน์เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

เมื่อวันที่ 4 ที่ผ่านมา เราได้รับข่าวดีในการที่สะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 ระหว่างอำเภอแม่สอด-เมืองเมียววดี ที่พาดผ่านแม่น้ำเมยได้เปิดอย่างเป็นทางการอีกครั้ง หลังจากปิดมานาน สร้างความยินดีปรีดาให้กับพี่ๆน้องๆ ชาวแม่สอดเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมาย ที่ผมเคยพูดไว้ว่า ในปี 2566 จะมีข่าวดีจากฝั่งตรงข้ามบ้านเรา หลังจากที่มีแต่ข่าวร้ายมาตลอดสามปีมานี้ครับ

การเปิดประเทศในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สร้างความหวังในการค้าชายแดน ทั้งฝั่งขาออกและขาเข้าเท่านั้น อาจจะมีการเปิดกว้างทางด้านแรงงานเมียนมา ให้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมของไทยเราตามมาอย่างแน่นอน เพียงแต่จะช้าหรือเร็ว ต้องคอยติดตามกันต่อไปครับ เพราะจะมีผลต่อ Supply ของแรงงาน ที่เรามีปัญหาขาดแคลนมาตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2020 แล้ว เพราะในวันนั้น เป็นวันสุดท้ายที่ทางการไทยเราเปิดประตูให้แรงงานเมียนมา ที่มีความประสงค์จะเดินทางกลับประเทศบ้านเกิดอย่างเสรีได้

ปรากฎว่ามีแรงงานแห่พากันเดินทางกลับไป และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่สามารถเดินทางกลับมาอย่างถูกต้องตามกฎหมายแรงงานยาวนานถึงสองปีกว่า เพิ่งจะเริ่มเปิดให้เดินทางกลับเข้ามาเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่สถานการณ์ของอุตสาหกรรมของไทยเรา ก็เปลี่ยนแปลงไปตามเศรษฐกิจของโลก ซึ่งเป็นไปตามกระแสโลกาภิวัตน์ที่ตกต่ำลง ส่งผลทำให้ด้านการผลิตในอุตสาหกรรมของโลก ได้ตกต่ำถึงขีดอันตราย ตามที่เราได้รู้ๆ กันครับ

 

พอเศรษฐกิจเริ่มผงกศีรษะขึ้นมาได้บ้าง แรงงานที่เดิมเคยทำงานอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรมในไทย ก็ไม่สามารถกลับเข้ามาทำงานในสถานที่ดั้งเดิมได้ ถ้ามองด้านเศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม ก็สามารถมองว่านี่เป็นความสูญเสียได้ เพราะแรงงานกว่าจะสามารถทำงานที่ตนเองถนัดได้ ต้องใช้เวลานานพอควร จึงจะฝึกฝนจนเกิดความชำนาญได้

พอกลุ่มที่มีความเชี่ยวชาญเดินทางกลับไปสู่บ้านเกิด ทางโรงงานอุตสาหกรรมต้องการแรงงานกลุ่มนี้กลับมา ก็ไม่ได้เสียแล้ว ต้องเริ่มต้นใหม่ด้วยการรับแรงงานกลุ่มใหม่ๆ เข้ามาฝึกฝนกันใหม่ต่อไป นี่คือความสูญเสียทางด้านทรัพยากรบุคคลไปโดยไม่สามารถโทษใครได้ครับ

ส่วนด่านชายแดนอื่นๆ ที่สำคัญๆ ก็มีด่านอำเภอแม่สาย-เมืองท่าขี้เหล็ก และด่านจังหวัดระนอง-เมืองเกาะสอง ที่คาดว่าอีกไม่นานเกินรอ คงจะได้รับข่าวดีแน่นอนครับ เหตุที่ผมคิดเช่นนั้น เพราะเท่าที่มีเพื่อนรักคนหนึ่งของผม ได้ส่งภาพข่าวและวิดีโอการเปิดด่านชายแดนจีน-เมียนมา ณ ด่านมูเจ-หยุ่ยหลี่ มาให้

ก็เป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะนี่คือนิมิตรหมายที่ดีของประเทศที่มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมาทั้งสี่ประเทศครับ เพราะเป็นที่รู้กันว่า ด่านชายแดนจีน-เมียนมา เป็นด่านที่หินที่สุดแล้ว หากที่นี่เปิดได้ ก็อาจจะส่งผลให้ด่านอื่นๆ เปิดได้เช่นกัน ผมจึงมีความเชื่อว่า พี่ๆน้องๆ ชาวแม่สายและระนอง จะได้รับข่าวดีในเวลาอันใกล้นี้แน่นอนครับ
 

ในด้านด่านของประเทศจีน-เมียนมา ที่ด่านมู่เจ-หยุ่ยหลี่ ที่กล่าวมานั้น หากสังเกตดูจากเงื่อนไขที่ทางการจีน-เมียนมา ได้ร่วมลงนามกันในการเปิดด่าน ก็ไม่ได้เข้มงวดจนเกินไปนัก ผมขอยกเอาข่าวที่ได้รับมาเป็นตัวอย่างให้ดูเล็กน้อยนะครับ หลังจากที่มีการระบาดของ COVID-19 ทางการทั้งสองประเทศ(จีน-เมียนมา) ได้ร่วมกันปิดด่านพรมแดนตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2021 เป็นต้นมา

บัดนี้สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคร้าย ได้บรรเทาลงแล้ว ทางการทั้งสองประเทศจึงได้ประกาศให้ (1) นับตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2023 เป็นต้นไป ให้เปิดด่านชายแดนเมืองมู่เจ-เมืองหยุ่ยหลี่  (2) ทางการได้มีข้อกำหนดอนุญาตให้รถบรรทุก 6 ล้อ ที่บรรทุกน้ำหนักไม่เกิน 16 ตัน สามารถผ่านแดนได้ ยกเว้น สินค้าการเกษตรทุกชนิด สินค้าประมง สินค้าเหมืองแร่ ยังไม่อนุญาตให้มีการขนส่งได้

(3) อนุญาตให้การส่งออก “อ้อย” เพื่อนำเข้าประเทศจีน โดยใช้รถบรรทุก 6 ล้อที่มีทะเบียนของเมืองที่มีชายแดนติดต่อกันทั้งสองประเทศ และต้องบรรทุกไม่เกิน 16 ตัน สามารถผ่านแดนได้ (4) อนุญาตให้สินค้าอุปโภค-บริโภค อาหาร เวชภัณฑ์ ยารักษาโรค สามารถนำเข้าประเทศเมียนมาได้

(5) พนักงานขับรถสัญชาติเมียนมา ที่ขับรถผ่านแดน จะต้องมีใบรับรองการฉีดวัคซีนและผลตรวจหาเชื้อไวรัสโควิดภายใน 48 ชั่วโมงก่อนการเดินทางทุกครั้ง ด้านคนขับรถสัญชาติจีน นับตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2023 เป็นต้นไป จะต้องได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัสจากทางการของเมียนมาก่อนทุกครั้งที่ผ่านแดนเช่นกัน

(6) รถบรรทุกสินค้าทุกคัน จะต้องมีใบกำกับภาษีขาเข้าประเทศที่ชำระแล้วอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกคัน นอกจากนี้ ด่านชายแดนด้านสามเหลี่ยมทองคำ ยังคงใช้คำสั่งเดิมไม่มีการยกเว้น อีกทั้งห้ามรถบรรทุก 8 ล้อขึ้นไป ขนส่งสินค้าระหว่างสามเหลี่ยมทองคำ-เมืองมู่เจ 

จากผลของการประกาศใบฉบับดังกล่าว ผมเชื่อว่าจะทำให้ประเทศเมียนมา จะมีสินค้าจากประเทศจีนทะลักเข้าสู่ตลาดมากยิ่งขึ้น ในขณะที่สินค้าอุปโภค-บริโภค จากประเทศไทยที่เป็นสินค้ารายใหญ่ๆ น่าจะยังคงมีสภาพเหมือนเดิมอยู่ เพราะเรายังติดสินค้าต้องห้าม 6 ประเภท ที่ทางการเมียนมาเคยออกคำสั่งห้ามนำเข้าทางชายแดนไว้อยู่

อีกประการหนึ่งที่จะสร้างปัญหาให้สินค้าไทยถูกแย่งตลาดไป คือการใช้เงินบาทในการซื้อ-ขาย ไม่สามารถเทียบเงินหยวนของประเทศจีนได้ ในด้านกระแสเงินสดในท้องตลาด ที่จีนเองเขาก็ได้รับอานิสงส์จากนโยบายหยวน-จ๊าด เช่นเดียวกันกับประเทศไทยที่ได้รับอานิสงส์นโยบายบาท-จ๊าดเช่นกัน เพราะต้องยอมรับว่า กระแสเงินสดในท้องตลาดเมียนมาที่เป็นเงินบาท จะมีน้อยกว่าเงินหยวนจีนอย่างมาก 

ในอีกด้านหนึ่งคือการประกาศใช้ระบบ Earning money คือการนำเข้าจะต้องใช้เงินจากการส่งออกมาชำระค่าสินค้า ที่ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ จะยังคงเป็นอุปสรรคต่อสินค้าไทยอย่างมาก รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ของเรา จะต้องเร่งรีบดำเนินการเจรจาให้ยกเลิกประกาศดังกล่าวอย่างรวดเร็ว มิเช่นนั้นการเปิดด่านชายแดนจีนครั้งนี้ จะส่งผลต่อตัวเลขสถิติการค้าระหว่างประเทศของไทยในปี 2023 นี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอนครับ