เกมการเมือง“โหด” นายกฯแพทองธาร เดินเข้าสู่“กับดัก”

28 มิ.ย. 2568 | 01:00 น.

เกมการเมือง“โหด” นายกฯแพทองธาร เดินเข้าสู่“กับดัก” รายงานพิเศษ... โดย... เชอร์ล็อก โอ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ ฉบับ 41

KEY

POINTS

  • 1 ก.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ชะตา “นายกฯแพทองธาร” กรณีคลิปเสียงสนทนากับฮุนเซน เข้าข่ายขาดคุณสมบัติ และฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง อาจนำไปสู่การหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ 
  • พรรคภูมิใจไทยจับมือฝ่ายค้าน เตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังเปิดสภา 3 ก.ค. 68 รัฐบาลมีเพียง 256 จาก 500 เสียง เสี่ยงปริ่มน้ำ ทำรัฐบาลเสี้ยวไส้
  • นิติสงครามงบประมาณ ป.ป.ช.รับสอบปมโยกงบ 35,000 ล้าน ไปแจกเงินดิจิทัล และอีก 1,256 ล้าน เข้ากองทุนอดีต สส.-สว. ส่อขัด รธน. หากชี้มูลผิด รัฐมนตรี-สส.-กมธ. อาจพ้นตำแหน่ง ตัดสิทธิเลือกตั้ง คืนเงิน

ในขณะที่ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำลังเดินหน้าปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายหลังพรรคภูมิใจไทยถอนตัว โดยการเกลี่ยเก้าอี้ 4 รัฐมนตรีว่าการ-4 รัฐมนตรีช่วย ให้กับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างหน้าดำคร่ำเครียด ก่อนนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ นั้น

นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ก็ต้องเจอกับ “กับดักทางการเมือง” ชุดใหญ่ 3 กับดัก ที่วัดไปถึงอนาคตของรัฐบาลว่าจะอยู่หรือไป

คลิปเสียง-จริยธรรมเขย่านายกฯ 

กับดักชุดแรก นายกฯ ต้องเผชิญกับคำร้องของ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ร้องศาลรธน.วินิจฉัยสถานะความเป็นนายกฯ สิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ 

ระเบิดลูกนี้มีการรับลูกกันเป็นระนาด รวดเร็วดุจสไนเปอร์

วันที่ 19 มิ.ย. 2568 สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ประกาศลงชื่อยื่นถอดถอน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากขาดคุณสมบัติ และมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) และไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง

จากกรณีมีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนา ระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับ สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เกี่ยวกับความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา รวมทั้งจะมีการยื่นเอาผิดกับ น.ส.แพทองธาร ต่อองค์กรต่างๆ ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

วันที่ 20 มิ.ย. 2568 นายมงคล ประธานวุฒิสภา ได้ลงนามในหนังสือถึงประธาน ป.ป.ช. เพื่อส่งหนังสือกล่าวหา น.ส.แพทองธาร ของคณะสมาชิกวุฒิสภา ประกอบการไต่สวนฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และอาจมีลักษณะเป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายหรือไม่

วันเดียวกันนั้น (20 มิ.ย. 68) ประธานวุฒิสภา ยังได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 86 ว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรี ของ น.ส.แพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่

ชัดเจนว่า เป็นปฏิบัติการ “คิด-ลงมือทำกันทันที” เป็นขบวนการ
กับดักชุดแรกนี้ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ออกมาชี้แจงว่า การประชุมศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 1 ก.ค. 2568 มีการนัดประชุมไว้ล่วงหน้าว่า “จะมีการตัดสินคดีเกี่ยวกับกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่”

ส่วนเรื่องที่ร้องเรื่องคลิปเสียงนายกฯ นั้น ยังไม่ได้ดู ตอนนี้อยู่ในกระบวนการรับเรื่อง ว่าเป็นตามขั้นตอนถูกต้องหรือไม่

ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่า วันที่ 1 ก.ค. 2568 จะพิจารณาเรื่องคลิปเสียง แต่ต้องให้คณะตุลาการตรวจเอกสารให้ครบถ้วนก่อน แต่หากมีการพิจารณา ก็จะออกได้ 2 ทาง คือ “รับ หรือ ไม่รับเรื่อง” แต่จะมีคำสั่งได้เลยหรือไม่นั้น ยังไม่ทราบ ต้องตรวจเอกสารก่อน และเข้าองค์คณะ 9 คน 

ครั้นเมื่อ รับพิจารณาคดีคลิปเสียงแล้ว จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่นั้น ประธานศาลรัฐธรรมนูญบอกว่า “ไม่จำเป็นจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่เสมอไป ต้องดูว่า มีข้อเท็จจริงว่าการหยุดปฏิบัติหน้าที่จะทำให้เกิดความเสียหายหรือไม่ การรับคดี แต่ไม่ได้สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็มี”

หลุมบ่อของกับดักชุดนี้ “นายกรัฐมนตรีแพทองธาร มีแต่ลุ้นกับลุ้นว่า จะรอดหรือไม่” 

ซักฟอก“เสียงปริ่มน้ำ”เสียวไส้

พ้นจากกับดักแรก นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลเจอกับดักด่านที่สองที่ร้อนแรง ล่อแหลม พร้อมระเบิดทุกเมื่อ หากบริหารจัดการ สส.ไม่ดี

พลานุภาพของการที่พรรคภูมิใจไทย มีมติยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 หลังจากเปิดสมัยประชุมสภาครั้งที่ 3 วันที่ 3 ก.ค. 2568  จึงขอเชิญชวน พรรคประชาชน พลังประชารัฐ เป็นธรรม และ ไทยสร้างไทย ที่อยู่ฝ่ายค้าน ร่วมลงชื่อยื่นญัตติอภิปรายดังกล่าวต่อนายกฯ ในการปฏิบัติหน้าที่

ระเบิดชุดนี้เสียวไส้ต่อสถานะของรัฐบาล และนายกรัฐนตรียิ่งนัก!!
สาเหตุเพราะระเบิดชุดนี้จะถล่มแผลใหญ่ของนายกฯ ในเรื่องภาวะผู้นำรัฐบาล เป็นการตอกลิ่ม “เลือดรักชาติ” ในหมู่ประชาชนและพรรคการเมือง อีกทั้งยังพุ่งเป้าไปในยุทธวิธีแยกปลา แยกน้ำ “รัฐบาล+ทหาร”

ปฏิบัติการชุดนี้ เป็นการขึงพืด ตรึงนายกฯแพทองธารไว้ แบบดิ้นยาก
เนื่องเพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 กำหนดให้ใช้เสียง สส. จำนวน 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด ซึ่งต้องใช้เสียงจำนวน 99 คน จาก 495 คน  

ถ้า สส.ลงรายชื่อครบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ต้องบรรจุระเบียบวาระ นั่นจะทำให้นายกฯ ไม่สามารถยุบสภา จนกว่า จะมีการถอนญัตติ หรือ จนกว่าการลงมติจะแล้วเสร็จ

สถานการณ์แบบนี้ นายกฯเสียวไส้อย่างมาก เพราะเสียงพรรคร่วมรัฐบาลปริ่มน้ำอย่างยิ่ง มีแค่ 256 เสียง ขณะที่พรคฝ่ายค้านมีอยู่ราว 239 เสียง แม้ว่า พรรคภูมิใจไทยที่เคยรักกันจะมีแค่ 69 เสียง ไม่ครบตามรัฐธรรมนูญที่ต้องหาให้ได้ 1 ใน 5 ของจำนวน ส.ส. นั่นหมายความว่า ต้องได้เสียงจากพรรคประชาชน หรือพรรคอื่น มาช่วยอีกราว 30 เสียง แต่กระพริบตาไม่ได้เด็ดขาด

                             เกมการเมือง“โหด” นายกฯแพทองธาร เดินเข้าสู่“กับดัก”

ท่าทีของ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน ที่ส่งสัญญาณออกมาว่า “แนวคิดเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 151 ในสถานการณ์ประชาชนเริ่มสูญเสียความไว้วางใจต่อรัฐบาล เราก็พร้อมเป็นตัวแทนในการตรวจสอบ และขอยืนยันว่า กลไก 151 มาแน่นอน แต่กลไกนี้เป็นอาวุธที่ทรงพลัง ใช้ได้เพียง 1 ครั้งต่อสมัยประชุม คือตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค. 2568 - 30 ต.ค. 2568  

....อาวุธที่ทรงพลังจึงต้องใช้อย่างแม่นยำและต้องหวังผล ทั้งมติในสภาและความไม่ชอบธรรมของรัฐบาล จึงไม่ต้องการให้ใช้อาวุธนี้อย่างเสียของ หากใช้ไปแล้ว นายกฯพ้นจากตำแหน่ง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด จะไม่สามารถใช้กลไกนี้ได้อีก แม้จะมีนายกฯ คนใหม่เข้ามา จึงจำเป็นต้องมีจังหวะเวลาที่เหมาะสม ในการยื่นไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 151” 

จะเห็นลูกเล่น การต่อรองทางการเมือง ใน 2 ด้านคือ “ร่วมยื่นญัตติ กับ ชักดาบเก็บไว้ไม่อภิปราย” คล้ายๆ กับมี “ดีลบางประการ” 

แต่หากอ่านรหัสนัยจาก “ผู้นำจิตวิญญาณ” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในวันที่ 25 มิ.ย. 2568 ว่า “ผมเชื่อเหมือนพรรคประชาชนที่ได้นำเสนอมาว่า การยุบสภาให้ประชาชนตัดสินใหม่ เป็นทางออกที่ดีที่สุด ในภาวะการเมืองฝุ่นตลบเช่นนี้ ต้องกลับไปถามประชาชนอีกรอบหนึ่งว่า จะให้ประเทศเดินหน้าไปในทิศทางไหน”

กับดักลูกใหญ่ในญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี อาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการเดินหน้าไปสู่การยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนได้ 

เพราะในกระดานการเมืองนั้น เสียงของรัฐบาล 256 เสียง มากกว่าเสียงของพรรคฝ่ายค้านอยู่ 17 เสียง แต่ดัชนีความเชื่อมั่นของรัฐบาลในปัจจุบันไม่ได้เป็นเอกภาพเอาเสียเลย

อย่างน้อยสุดจะมีเสี่ยงที่เป็นขั้วรัฐบาลปัจจุบันร่วม 9-10 เสียง จะเหวี่ยงมาอยู่ฝั่งฝ่ายค้าน ผ่านการลงมติ “งดออกเสียง-หรือไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล”

เสียงโหวตอันสุ่มเสี่ยงนี้ จะมาจาก 5 สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ อันประกอบด้วย “จุติ ไกรฤกษ์-วิทยา แก้วภราดัย-วิชัย สุดสวาสดิ์-สันต์ แซ่ตั้ง-ชุมพล จุลใส” ที่ประกาศเจตนารมย์ต่อสาธารณะชนว่าไม่เอานายกฯแพทองธารไว้แล้ว

อีก 4 เสียงจะมาจาก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อันประกอบด้วย “ชวน หลีกภัย-บัญญัติ บรรทัดฐาน-จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์-สรรเพชญ บุญญามณี” ที่เป็นฝ่ายค้านในประชาธิปัตย์ปัจจุบัน ไม่แน่อาจมีกรรมการบริหารพรรคบางคนชิ่งมาร่วมวง

ขณะที่ 1 เสียงจาก ส.ส.พรรคไทยสร้างไทย “ชัชวาล แพทยาไทย” สส.ร้อยเอ็ด ก็ยืนยันมั่นคงว่าเป็นฝ่ายค้านอย่างเด็ดเดี่ยว   

ญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 จึงสุ่มเสี่ยงและมีพลานุภาพที่สั่นคลอน จนอาจนำไปสู่การยุบสภาได้ ถ้ามีการประสานงานกับมวลชน ผนึกกำลังกับประชาชนที่ไม่พอใจในรัฐบาลอย่างเป็นระบบ 

นิติสงครามงบประมาณ ม.114

พ้นจากนี้ นายกรัฐมนตรียังมีกับดักโหด “นิติสงคราม” ที่อยู่ในมือศาลและป.ป.ช. จากกรณี ชาญชัย อิสระเสนารักษ์, สมชาย แสวงการ, เจษฎ์ โทณะวณิก และ นิติธร ล้ำเหลือ ร่วมกันยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอให้สอบสวน กรณีที่อาจมีการกระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ในเรื่องการจัดทำและแปรญัตติงบประมาณ 2 กรณี

กรณีแรก มีการตัดงบประมาณวงเงิน 35,000 ล้านบาท ที่ถูกตัดจากงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 5 แห่ง ซึ่งเป็นเงินกู้ตามข้อผูกพันตามกฎหมายการเงินการคลัง โยกมาเป็นงบกลาง เพื่อใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท  

กรณีที่สอง คณะกรรมาธิการงบประมาณปี 2568 จำนวน 72 คน ร่วมการกระทำ ความผิดการแปรญัตติงบประมาณในชั้นกรรมาธิการ โดยนำเงินจากงบกลาง 1256 ล้านบาท มาเพิ่มให้กองทุนเพื่อผู้ที่เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาด้วย ซึ่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ห้ามไว้

มาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งเป็นมาตราการควบคุมการพิจารณางบประมาณที่เข้มข้นที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หยิบมาใช้ในการศึกชนิดที่อาจนำมาซึ่งการทำ”รัฐประหารเงียบ”ทางการเมืองของประเทศได้

เนื่องจาก มาตรา 144 วางกรอบชัดเจนว่า “ห้ามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมาธิการ หรือ คณะรัฐมนตรี เปลี่ยนแปลงงบประมาณเว้นแต่ในทางลด หรือ ตัดทอน และห้ามแตะต้องรายจ่ายที่เป็น (1) เงินส่งใช้ต้นเงินกู้ (2) ดอกเบี้ยเงินกู้ (3) เงินที่กฎหมายกำหนดให้จ่าย”

หากมีการฝ่าฝืนข้อห้ามนี้ บทลงโทษสูงสุดถึงขั้นให้พ้นจากตำแหน่ง เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และ ถูกเรียกเงินคืนภายใน 20 ปี

คำร้องที่เป็นนิติสงคราม ตามมาตรา 144 ที่มีการยื่นต่อป.ป.ช.ในครั้งนี้ มิได้จำกัดเป้าหมายแค่รัฐบาลเท่านั้น หากแต่ขยายวงไปถึงฝ่ายนิติบัญญัติทั้ง สส. 309 คน, สว. 175 คน และ กรรมาธิการงบประมาณ 72 คน ที่มีส่วนร่วมในการผ่านร่างงบประมาณฉบับที่มีการเปลี่ยนแปลงงบประมาณ  

ในวรรคท้ายของ มาตรา 144 กำหนดให้ ป.ป.ช. มีอำนาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง หากเห็นว่ามีมูลความผิด และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญ รับเรื่องไว้แล้ว จะดำเนินการไต่สวนและวินิจฉัยตามกระบวนการที่กำหนดในรัฐธรรมนูญโดยตรง

โปรดอย่าประมาท กระบวนการนิติสงครามทางการเมือง กรณีมาตรา 144 โดยเด็ดขาด เพราะอาจเป็นเครื่องมือในการล้างบางการเมืองไทยชนิดที่ใครก็คาดไม่ถึง!!!

รายงานพิเศษ โดย...เชอร์ล็อก โอ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ ฉบับ 4109