เป็นไปตามธรรมชาติของการเมืองโค้งสุดท้าย ช่วงนับถอยหลังครบวาระของสภาฯและรัฐบาล ที่บรรดา “ความเห็นต่าง” จะปะทุรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีรัฐบาลผสมจากหลายพรรคการเมือง ที่ต่างต้องแสดงบทบาทให้โดดเด่นเพื่อผลต่อการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 2/2565 ที่จะเป็นการประชุมสมัยสามัญครั้งสุดท้ายของสภาฯชุดนี้ โดยหากไม่มีการยุบสภาไปเสียก่อน ก็จะครบวาระในวันที่ 24 มีนาคม 2566 นี้แล้ว เพียงนัดแรกเมื่อ 3 พ.ย. 2565 ที่ประชุมมีมติควํ่าร่างพ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต หรือร่างกฎหมายสุราก้าวหน้า ด้วยคะแนนเฉียดฉิว 196 ต่อ 174 และต้องนับถึงสองครั้ง
ท่ามกลางเสียงตอบโต้ของพรรคก้าวไกลเจ้าของร่างฯ ว่าเสียเหลี่ยมทางการเมืองผู้เฒ่าในทำเนียบ โดย 1 วันก่อนหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ กำชับพรรคร่วมรัฐบาลให้โหวตควํ่า ยกเหตุผลว่าหากร่างกฎหมายของฝ่ายค้านผ่านคนจะเข้าถึงเหล้าอย่างไร้ขอบเขต แต่ก็ผ่อนคลายข้อจำกัดการผลิตเบียร์-สุรา ผ่านการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับใหม่ และให้มีผลใช้บังคับทันที
พรรคก้าวไกลเจ้าของร่างฯประกาศ จะชูนโยบาย “สุราก้าวหน้า” ในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมาถึงต่อไป เพื่อไปให้ถึงการทลายทุนผูกขาด ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็จะเสนอนโยบาย “สุราประชาชน” ให้ประชาชนสามารถต้มหรือผลิตสุราในท้องถิ่นเพื่อจำหน่ายได้ ที่เคยมีมาตั้งแต่พรรคไทยรักไทยแล้ว แต่มีการรัฐประหารในปี 2547
ด้านพรรคร่วมรัฐบาลเองก็งัดข้อรุนแรง ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ยกมือหนุน “ร่างพ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ.....” ของพรรคภูมิใจไทย ในการพิจารณาวาระ 2-3 จนต้องถอนกลับให้กมธ.ฯไปพิจารณาใหม่ แต่กมธ.เสียงข้างมากโดยการนำของภูมิใจไทย จะเสนอร่างเดิมกลับเข้าพิจารณาใหม่โดยไม่แก้ไข และเรียกร้องมารยาทพรรคร่วมฯ ที่ต้องยกมือหนุน ควบคู่กับการชี้หน้ากล่าวหากันไปมาระหว่างแกนนำพรรคร่วมด้วยกันเอง
ยังมี “ความเห็นต่าง” อีกมากมายในนโยบายสาธารณะ อาทิ เรื่องกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่พรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านจับมือกัน เสนอแก้ไขให้ยกเลิกการคิดดอกเบี้ย ยกเลิกค่าปรับ ไม่ต้องมีคนคํ้าประกัน อ้างประชาชนเดือดร้อนจากความขัดสนช่วงโควิด-19 ขณะที่อีกฝ่ายห่วงส่งผลกองทุนฯล้มละลาย คนจะขาดโอกาสทางการศึกษา หรือกลายเป็นภาระทางงบประมาณในอนาคต หรือกรณีเปิดทางต่างชาติซื้อที่ดินไทย 1 ไร่เพื่อดึงดูดการลงทุน
ปี่กองการเมืองในบรรยากาศอุ่นเครื่องสู่การเลือกตั้งใหม่ พรรคการเมืองต่างชูจุดขาย เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้พิจารณา นอกจากความพร้อมและเก่งกล้าสามารถของผู้นำพรรคแล้ว น่ายินดีที่แทบทุกพรรคต่างเสนอ “นโยบาย” มาแข่งขัน อาทิ การดูแลราคาพืชผลการเกษตร ค่าแรง สวัสดิการสังคม บำนาญหลังเกษียณ หรือ แก้ไขม.112
การเลือกตั้งเสมือนเป็นตลาดนโยบายสาธารณะ ที่พรรคต่าง ๆ นำมาเสนอขาย ซึ่งต้องผ่านการซักถาม ติดตาม สืบค้น จนถึงตรวจสอบ ทั้งจากประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งและคู่แข่งขัน ได้อย่างเสรี ทั่วถึงรอบด้าน แต่ละพรรคได้แสดงจุดยืนของตนที่ชัดเจนในประเด็นสำคัญ ๆ โดยผลการลงคะแนนเสียงจะเป็นตัวตัดสิน ว่าสังคม “เลือก” อนาคตของตนเองและบ้านเมืองอย่างไร รวมถึง “ผล” จากการเลือกนั้น ประชาธิปไตยจึงจะเป็นเครื่องมือแก้ไขความขัดแย้ง