องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พ.ส.ล.) ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นหลักรวมใจและเป็นความหวังของพุทธศาสนิกชนทั่วโลกอย่างแท้จริง โดยมีจุดเริ่มต้นทางประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.2493 ณ กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา
องค์กรนี้ถือกำเนิดขึ้นจากมติที่ประชุมของชาวพุทธทุกนิกายรวม 129 ท่านจาก 29 ประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการเป็นศูนย์รวมความสามัคคีของบรรดาชาวพุทธนิกายต่าง ๆ ตลอดระยะเวลา 75 ปีที่ผ่านมา พ.ส.ล. ได้เติบโตอย่างมั่นคงและเข้มแข็ง แม้จะมีอายุยาวนาน แต่องค์กรยังคงเปี่ยมด้วยพลังขับเคลื่อน และมีความกระฉับกระเฉงในการเดินหน้าสร้างความสามัคคีและสันติภาพให้แก่ชาวโลกอย่างต่อเนื่อง
ผลงานล่าสุดได้สะท้อนบทบาทสำคัญทั้งในระดับโลกและระดับท้องถิ่น อาทิ การให้การสนับสนุนโครงการพระธรรมจาริกที่เสียสละเผยแผ่พุทธศาสนาแก่ชาวเขา ณ อำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ ติดต่อกันเป็นเวลา 2 ปี และในระดับสากล
นายพัลลภ ไทยอารี ประธาน พ.ส.ล. ได้นำเสนอประเด็นสำคัญในเวทีผู้นำศาสนาทั่วโลก ณ ประเทศคาซัคสถาน ด้วยการบรรยายเรื่อง "Meditation: A Solution to the Global Crises" ซึ่งสร้างความประทับใจแก่หลายฝ่ายประเทศไทย : ศูนย์กลางถาวรของชาวพุทธโลกการที่ชาวพุทธทั่วโลกจะมารวมตัวกันเพื่อจัดงานฉลองครบรอบ 75 ปี พร้อมกับการประชุมใหญ่ครั้งที่ 31 ในวันที่ 4-7 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ณ ประเทศไทยนั้น เป็นผลสืบเนื่องจากสำนักงานใหญ่ถาวรของ พ.ส.ล. ได้ถูกย้ายมาตั้งในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 ตามมติของการประชุมใหญ่ พ.ส.ล. ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
โดยพิจารณาเห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อมในทุกด้านปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือสถานะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประมุขของประเทศ ผู้ทรงเป็นพุทธมามกะ และเอกอัครศาสนูปถัมภก ซึ่งเป็นสถานะอันพิเศษที่ประมุขของประเทศอื่นมิได้ประกาศพระองค์เช่นนี้
ทั้งนี้วัดวาอารามและคณะสงฆ์ในประเทศไทยต่างอยู่ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ไม่โดยทางตรงก็โดยทางอ้อม ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่พุทธศาสนิกชนทั่วถึงการที่ประเทศไทยเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ถาวรนี้ ได้รับการเทียบเคียงว่ามีความสำคัญในฐานะศูนย์รวมจิตใจชาวพุทธโลก
เช่นเดียวกับการที่องค์การสหประชาชาติมีสำนักงานใหญ่ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ทั้งยังนับเป็นเกียรติอย่างสูงแก่ประเทศไทย ที่ชาวพุทธไทยผู้มีชื่อเสียงได้รับเลือกให้เป็นประธานองค์กรนี้ติดต่อกันมาแล้วถึง 4 ท่าน จากประธานทั้งหมด 6 ท่าน ตลอด 75 ปีความคาดหวังในการขับเคลื่อนปัญญาและขจัดอวิชชา
อย่างไรก็ตาม ชาวพุทธมีความคาดหวังว่า องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกสมควรมีบทบาทเชิงรุกในการให้ความรู้และเสริมสร้างปัญญา เพื่อร่วมแก้ปัญหาวิกฤตของพระพุทธศาสนาที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ปัญหาเหล่านี้มิใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นความท้าทายเรื้อรังที่เกิดจากทั้งศัตรูภายใน ภายนอก และอิทธิพลจากศาสนาอื่น
สิ่งที่ชาวพุทธคาดหวังคือการที่ พ.ส.ล. ในระดับโลก จะร่วมมือกับคณะสงฆ์และนิกายอื่นในการบ่มเพาะปัญญาเพื่อขับไล่ศัตรูตัวฉกาจที่แท้จริง คือ อวิชชา (ความไม่รู้แจ้ง) และ โมหะ (ความหลงผิด) ตามหลักคำสอนการแก้ไขอวิชชา: อวิชชาเป็นรากฐานของการเวียนว่ายตายเกิดในมนุษย์ ซึ่งจะแก้ไขได้ด้วย วิชชา หรือ ปัญญา (การรู้จักขันธ์ 5 ตามความเป็นจริง) เพื่อนำไปสู่การดับทุกข์และนิพพานตามคติพุทธศาสนา ปัญญาหรือวิชชาจะเกิดขึ้นได้ผ่านการศึกษาและการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
ด้วยเหตุนี้ จึงอยากเห็น พ.ส.ล. สนองพระดำริในสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อัมพร อมฺพโร) องค์ปัจจุบัน ที่ทรงมีพระประสงค์ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางวิปัสสนากรรมฐานของโลกการแก้ไขโมหะ: โมหะเป็นปัญหาพื้นฐานในสังคมไทยและสังคมโลก โดยเฉพาะการลุ่มหลงในอบายมุข และการหลงเชื่อในอภินิหารหรือความศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ จนมิได้บูชาเฉพาะพระรัตนตรัยเท่านั้น แต่ยังบูชารูปเคารพหรือตัวแทนจากศาสนาอื่นที่อ้างว่าศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นโมหะที่ต้องได้รับการแก้ไขด้วยปัญญา
พ.ส.ล. และคณะสงฆ์จึงควรร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้ เพื่อไม่ให้เป็นที่ครหาของศาสนิกอื่นต่อไป จึงเป็นที่คาดหวังว่า ในการฉลองครบรอบ 75 ปี พ.ส.ล. และการประชุมใหญ่ครั้งที่ 31 ในวันที่ 4-7 ธันวาคม พ.ศ. 2568 นี้ ผู้นำองค์กรจะหยิบยกปัญหาเชิงแก่นสารเหล่านี้ขึ้นมาหารือ เพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาเรื้อรังของชาวพุทธอย่างยั่งยืน แทนที่จะมุ่งความสนใจไปที่ประเด็นเทคโนโลยีอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) แต่เพียงด้านเดียว