ผี​ คน​ ​พระ​ และ​ การปฏิบัติธรรม

06 ส.ค. 2568 | 20:30 น.

ผี​ คน​ ​พระ​ และ​ การปฏิบัติธรรม คอลัมน์ ทำมาธรรมะ โดย ราชรามัญ

ความผูกพันตามความเป็นจริงทั้งเรื่องผี ​เรื่องคน และพระ​ปะปนกันอยู่เช่นนี้​ นับตั้งแต่อดีตกาลย่อมว่าได้ บางครั้งผีมากระซิบคน​ให้เชื่อเรื่องนั่นนี่​ บางทีผีมากระซิบพระให้เชื่อแบบนั้นนี่​

สำหรับพระ เราจึงได้ยินความเกี่ยวข้องกับผีในเชิงของการทำเครื่องรางของขลัง​ ส่วนคนประเภทหมอดูทางใน ยุคอดีตเราจะได้ยินเรื่องทำนองมากเช่นเดียวกัน​ ความจริงเรื่องนี้เป็นเช่นไรกันแน่.... 

การที่คนเห็นผี​ พระเห็นผี​ มีความคล้ายกันอยู่บ้าง​ แต่ถึงอย่างไรเสีย​ มีมุมมองให้ได้เรียนรู้ศึกษากันโดยนัยว่า​ คนธรรมดาที่มีบุญมาก ​ผีอย่ามาปรากฏให้เห็น เพราะ ต้องการขอส่วนบุญนั้น ๆ​ ส่วนคนที่มีบุญน้อย ผีก็สามารถมาปรากฏให้เห็นได้เช่นเดียวกัน​ เพื่อต้องการให้เขาคนนั้นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไป ให้​

สำหรับพระที่ได้เห็นผี หรือมีผีมากระซิบนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าผีอยากได้ส่วนบุญ​ จึงได้มาเป็นบริวาร ​เพื่อต้องการให้พระอุทิศส่วนกุศลให้บ่อย ๆ ​ซึ่งก็มีปรากฏมาตั้งแต่ในอดีต​

ส่วนคนธรรมดานั้น ​ที่ได้ยินเสียงกระซิบจากผี​ต่าง ๆ นานา ​เชื่อเหลือเกินว่าเขาคนนั้นเป็นผู้ปฏิบัติธรรม​และเมื่อถึงจุดที่จิตละเอียดมาก ๆ เขาจึงได้สัมผัสวิญญาณเหล่านั้นได้​ เมื่อวิญญาณกระซิบเรื่องใด ๆ ก็ตาม ​เขาจึงเกิดความเชื่อว่าเรื่องนั้นต้องเกิดขึ้นจริงและเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน​ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีหมอทางใน ในอดีตเป็นจำนวนมาก​

แต่ตามความเป็นจริงแล้ว นักปฏิบัติ​จะไม่สนใจเรื่องวิญญาณใด ๆ ที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะมากระซิบเรื่องใดก็ตาม​ เมื่อได้ยินแล้วต่างก็วางลง ไม่ไปใส่ใจอย่างเต็มที่ ไม่ไปเชื่อถือ ไม่ไปน้อมเข้ามาหาให้นับถือใด ๆ ทั้งสิ้น

เพราะการปฏิบัติธรรมนั้น มีมุ่งหมาย​เพื่อจะตัดอุปทานขันธ์ ​แต่การที่ไปรับรู้และยอมรับเสียงผีกระซิบเป็นการสร้างอุปทานซ้อนขึ้นมา​ จึงทำให้นักปฏิบัติคนนั้นเสียคน ​และไม่มีความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติต่อไป​

เพราะจิตได้ถูกร้อยรัดเอาไว้กับอุปทานขันธ์อันใหม่ ​ด้วยการเชื่อเรื่องวิญญาณ เรื่องผี​ที่เข้ามากระซิบ เรื่องนั้นเรื่องนี้ตลอดเวลา จึงทำให้ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ ​แม้ผู้ที่เป็นพระภิกษุก็ไม่สามารถรอดพ้นภาวะของจิตเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปในด้านการปฏิบัติเช่นกัน​ เพราะเข้าไปสร้างอุปทานขันธ์ใหม่นั้นเอง

ดังนั้น ผู้ที่ปฏิบัติธรรมเมื่อปฏิบัติมาถึงจุดหนึ่ง ได้พบเห็นวิญญาณหรือสิ่งใด ๆ เข้ามากระซิบ​ จงทำจิตว่าง ๆ ไว้ อย่าไปใส่ใจ ทำใจให้เป็นกลาง เดี๋ยวสิ่งนั้นก็จะเจือจางหายไปเอง​ในความรู้สึก ​ขอเพียงแต่ว่าเราอย่าน้อมเข้ามาในจิตใจเท่านั้นเป็นพอแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็จะหายไปเอง แม้ว่าจะเป็นนิมิตปรากฏก็ตาม ก็ต้องทำใจให้เป็นกลาง ไม่นานนักเมื่อสมาธิละเอียดขึ้น จิตจะขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งโดยปริยาย​

หากถามว่าทุกคนที่ปฏิบัติธรรมต้องเห็นแบบนี้เหมือนกันไหม ​คำตอบคือไม่เห็นเหมือนกัน​หมดทุกคน​ บางคนเห็นเป็นเทพเทวดา​ เห็นเป็นวัตถุเรืองแสงก็มี อะไรก็ตามแต่​ ทุกสิ่งอย่างเหล่านี้เป็นมายาคติมาจากจิตที่เราน้อมเข้าไปสัมผัสเองทั้งสิ้น​

ถ้าหลงเชื่ออย่างมาก เราก็จะกลายเป็นผู้ยึดในอุปทานขันธ์ใหม่ ​แล้วก็ยากที่จะถอนออกได้​ แต่ถ้าเราไม่เชื่อ จิตของเราก็จะละเอียดขึ้น การปฏิบัติธรรมก็จะเจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นได้แค่เพียงทางผ่าน​

แม้แต่การอุทิศกุศล​หลังจากที่ปฏิบัติธรรมแล้ว ให้แก่เหล่าผีหรือวิญญาณทั้งหลาย ​ก็เป็นอีกหนึ่งที่สร้างอุปทานขันธ์ ให้เกิดขึ้นกับจิตของเรา​

เป็นไปได้ เราควรอธิษฐาน สัจจะ วาจา ว่า​กุศลเกิดแล้ว ขอให้ผีหรือวิญญาณทั้งหลาย มาน้อมอนุโมทนาเอาเองเถิด​ กับกุศลที่ได้เกิดแล้วจากการปฏิบัติธรรม​

ลักษณะนี้จะไม่ทำให้เป็นอุปทานขันธ์แต่ประการใด​ วิญญาณเหล่านั้นก็ได้ส่วนบุญด้วยจากการที่เราปฏิบัติธรรม จิตของเราก็จะพ้นรอดปลอดภัย​ ไม่ต้องไปคลุกคลีกับผีหรือวิญญาณเหล่านั้นให้เป็นอุปทานขันธ์ขึ้นมา