ความผูกพันตามความเป็นจริงทั้งเรื่องผี เรื่องคน และพระปะปนกันอยู่เช่นนี้ นับตั้งแต่อดีตกาลย่อมว่าได้ บางครั้งผีมากระซิบคนให้เชื่อเรื่องนั่นนี่ บางทีผีมากระซิบพระให้เชื่อแบบนั้นนี่
สำหรับพระ เราจึงได้ยินความเกี่ยวข้องกับผีในเชิงของการทำเครื่องรางของขลัง ส่วนคนประเภทหมอดูทางใน ยุคอดีตเราจะได้ยินเรื่องทำนองมากเช่นเดียวกัน ความจริงเรื่องนี้เป็นเช่นไรกันแน่....
การที่คนเห็นผี พระเห็นผี มีความคล้ายกันอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรเสีย มีมุมมองให้ได้เรียนรู้ศึกษากันโดยนัยว่า คนธรรมดาที่มีบุญมาก ผีอย่ามาปรากฏให้เห็น เพราะ ต้องการขอส่วนบุญนั้น ๆ ส่วนคนที่มีบุญน้อย ผีก็สามารถมาปรากฏให้เห็นได้เช่นเดียวกัน เพื่อต้องการให้เขาคนนั้นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไป ให้
สำหรับพระที่ได้เห็นผี หรือมีผีมากระซิบนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าผีอยากได้ส่วนบุญ จึงได้มาเป็นบริวาร เพื่อต้องการให้พระอุทิศส่วนกุศลให้บ่อย ๆ ซึ่งก็มีปรากฏมาตั้งแต่ในอดีต
ส่วนคนธรรมดานั้น ที่ได้ยินเสียงกระซิบจากผีต่าง ๆ นานา เชื่อเหลือเกินว่าเขาคนนั้นเป็นผู้ปฏิบัติธรรมและเมื่อถึงจุดที่จิตละเอียดมาก ๆ เขาจึงได้สัมผัสวิญญาณเหล่านั้นได้ เมื่อวิญญาณกระซิบเรื่องใด ๆ ก็ตาม เขาจึงเกิดความเชื่อว่าเรื่องนั้นต้องเกิดขึ้นจริงและเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีหมอทางใน ในอดีตเป็นจำนวนมาก
แต่ตามความเป็นจริงแล้ว นักปฏิบัติจะไม่สนใจเรื่องวิญญาณใด ๆ ที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะมากระซิบเรื่องใดก็ตาม เมื่อได้ยินแล้วต่างก็วางลง ไม่ไปใส่ใจอย่างเต็มที่ ไม่ไปเชื่อถือ ไม่ไปน้อมเข้ามาหาให้นับถือใด ๆ ทั้งสิ้น
เพราะการปฏิบัติธรรมนั้น มีมุ่งหมายเพื่อจะตัดอุปทานขันธ์ แต่การที่ไปรับรู้และยอมรับเสียงผีกระซิบเป็นการสร้างอุปทานซ้อนขึ้นมา จึงทำให้นักปฏิบัติคนนั้นเสียคน และไม่มีความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติต่อไป
เพราะจิตได้ถูกร้อยรัดเอาไว้กับอุปทานขันธ์อันใหม่ ด้วยการเชื่อเรื่องวิญญาณ เรื่องผีที่เข้ามากระซิบ เรื่องนั้นเรื่องนี้ตลอดเวลา จึงทำให้ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ แม้ผู้ที่เป็นพระภิกษุก็ไม่สามารถรอดพ้นภาวะของจิตเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปในด้านการปฏิบัติเช่นกัน เพราะเข้าไปสร้างอุปทานขันธ์ใหม่นั้นเอง
ดังนั้น ผู้ที่ปฏิบัติธรรมเมื่อปฏิบัติมาถึงจุดหนึ่ง ได้พบเห็นวิญญาณหรือสิ่งใด ๆ เข้ามากระซิบ จงทำจิตว่าง ๆ ไว้ อย่าไปใส่ใจ ทำใจให้เป็นกลาง เดี๋ยวสิ่งนั้นก็จะเจือจางหายไปเองในความรู้สึก ขอเพียงแต่ว่าเราอย่าน้อมเข้ามาในจิตใจเท่านั้นเป็นพอแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็จะหายไปเอง แม้ว่าจะเป็นนิมิตปรากฏก็ตาม ก็ต้องทำใจให้เป็นกลาง ไม่นานนักเมื่อสมาธิละเอียดขึ้น จิตจะขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งโดยปริยาย
หากถามว่าทุกคนที่ปฏิบัติธรรมต้องเห็นแบบนี้เหมือนกันไหม คำตอบคือไม่เห็นเหมือนกันหมดทุกคน บางคนเห็นเป็นเทพเทวดา เห็นเป็นวัตถุเรืองแสงก็มี อะไรก็ตามแต่ ทุกสิ่งอย่างเหล่านี้เป็นมายาคติมาจากจิตที่เราน้อมเข้าไปสัมผัสเองทั้งสิ้น
ถ้าหลงเชื่ออย่างมาก เราก็จะกลายเป็นผู้ยึดในอุปทานขันธ์ใหม่ แล้วก็ยากที่จะถอนออกได้ แต่ถ้าเราไม่เชื่อ จิตของเราก็จะละเอียดขึ้น การปฏิบัติธรรมก็จะเจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นได้แค่เพียงทางผ่าน
แม้แต่การอุทิศกุศลหลังจากที่ปฏิบัติธรรมแล้ว ให้แก่เหล่าผีหรือวิญญาณทั้งหลาย ก็เป็นอีกหนึ่งที่สร้างอุปทานขันธ์ ให้เกิดขึ้นกับจิตของเรา
เป็นไปได้ เราควรอธิษฐาน สัจจะ วาจา ว่ากุศลเกิดแล้ว ขอให้ผีหรือวิญญาณทั้งหลาย มาน้อมอนุโมทนาเอาเองเถิด กับกุศลที่ได้เกิดแล้วจากการปฏิบัติธรรม
ลักษณะนี้จะไม่ทำให้เป็นอุปทานขันธ์แต่ประการใด วิญญาณเหล่านั้นก็ได้ส่วนบุญด้วยจากการที่เราปฏิบัติธรรม จิตของเราก็จะพ้นรอดปลอดภัย ไม่ต้องไปคลุกคลีกับผีหรือวิญญาณเหล่านั้นให้เป็นอุปทานขันธ์ขึ้นมา