มะเร็ง ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

08 ต.ค. 2565 | 03:52 น.

คอลัมน์ชีวิตบั้นปลายของชายชรา โดยกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ผมได้ไปร่วมรับฟังพระสวดอภิธรรมในงานศพผู้ใหญ่ที่เคารพทั้งหมด 3 ท่าน ซึ่งสองในสามก็เสียชีวิตจากโรคมะเร็งร้าย จึงอยากจะนำมาเล่าให้พวกเราผู้สูงอายุรับฟังกันนะครับ ก็อยากจะบอกว่ามะเร็งนั้นน่ากลัวอย่างที่คิดนะครับ แต่จะบอกว่าเราสามารถอยู่กับมันได้ เพราะปัจจุบันนี้มีคนที่รู้จัก รวมทั้งแฟนคลับที่อ่านอยู่หลายท่าน ที่ก็กำลังถูกเจ้าโรคร้ายนี้คุกคามอยู่ 


แต่การแพทย์บ้านเราในปัจจุบันนี้ ก็ได้สามารถยืดอายุของผู้สูงอายุที่เกิดโรคร้ายนี้ได้ในหลากหลายวิธี มีทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์ทางเลือก ซึ่งส่วนตัวผมเอง ผมมีความเชื่อในแพทย์แผนปัจจุบันมากกว่าแพทย์ทางเลือก แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ใช้วิธีการรักษาด้วยแพทย์ทางเลือก ผมก็เห็นท่านยังคงมีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน และอย่างมีความสุขเช่นกันครับ 

ดังนั้นใครจะเลือกวิธีการรักษาแบบไหน ก็ใช่ว่าจะผิดหรือถูกนะครับ ขอเพียงให้รู้ตัวว่าเกิดโรคมะเร็งร้ายในระยะต้นๆ ไม่ปล่อยให้ลามปามไปจนระยะสุดท้ายแล้วค่อยมารู้ตัว ซึ่งนั่นก็อาจจะสายมากจนเกินไปนะครับ ดังนั้นต้องขอเป็นกำลังใจให้สู้ต่อไปนะครับ
       


ก่อนที่จะกล่าวถึงบุคคลอื่น ผมขออนุญาตกล่าวถึงบุคคลใกล้ตัวผมเป็นตัวอย่างก่อนนะครับ คนแรกคือคุณพ่อของผม ท่านเสียชีวิตไปเมื่อครั้งที่ผมอายุเพียง 12 ขวบ ซึ่งในช่วงนั้นผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวมากนัก รู้แต่เพียงว่าพี่ชายคนโต ซึ่งอายุห่างจากผมเพียง 4 ปี ได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปตามท้องทุ่งนา เพื่อเสาะหายาวิเศษตามที่แพทย์แผนโบราณในยุคนั้นบอก มาต้มให้คุณพ่อทาน

ซึ่งสาเหตุหลักๆ ที่คุณพ่อเป็นมะเร็งที่ปอด มาจากการสูบบุหรี่จัดมาก จำได้ว่าท่านสูบบุหรี่ยี่ห้อ “เกล็ดทอง” วันละสองซอง ซึ่งบุหรี่ยี่ห้อนี้ฉุนมาก และไม่ได้มีก้นกรอง เพราะยุคเมื่อปี 2500 ต้นๆ บุหรี่ส่วนใหญ่ ถ้าหากต้องการกลิ่นรสฉุนมากๆ เขาจะไม่ใส่ก้นกรองกัน ทำให้ทั้งบ้านจะเหม็นอบอวลไปด้วยกลิ่นบุหรี่ 


อีกอย่างคือในอดีตวิวัฒนาการทางการแพทย์ ก็ค่อนข้างจะไม่ทันสมัยเหมือนปัจจุบัน ที่บ้านนอกแถวบ้านผม ถ้าจะเข้าโรงพยาบาล ก็ต้องเดินทางไปที่ในตัวจังหวัดเท่านั้น ถ้าจะหาหมอธรรมดาก็เข้าอำเภอ ที่อยู่ไกลบ้านพอสมควร เพราะการเดินทางไม่ได้สะดวก อีกทั้งจะมีแต่เพียง “สุขศาลา” เท่านั้น ซึ่งก็ไม่มีแพทย์ประจำ จะมีเพียงพยาบาลและผดุงครรภ์อยู่ประจำเท่านั้น จึงทำให้คุณพ่อผมพอรู้สึกตัวว่าไม่สบาย ก็สายไปแล้ว มะเร็งเข้าสู่ขั้นสุดท้ายแล้ว พอส่งเข้าโรงพยาบาลเพียงแต่สองเดือน ก็จากไปเลยครับ
           

ส่วนอีกคนหนึ่งคือ พี่สาวคนโตก็ได้เป็นมะเร็งเหมือนกัน แต่เป็นมะเร็งเต้านม ซึ่งก็รู้ตัวเมื่อเลยขั้นต้นไปนิด จนต้องตัดเต้านมทิ้ง แต่ช่วงที่รู้ตัวว่าเป็นโรคมะเร็ง เราได้เข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ นานหลายสิบปีแล้ว ทำให้เข้าถึงการรักษาได้ดีกว่าอดีตมาก อีกอย่างวงการแพทย์ในยุคนี้ ก็ค่อนข้างจะก้าวหน้าแล้ว พี่สาวจึงสามารถรักษาตัวอยู่ได้ยาวนานถึงสิบกว่าปี เพราะท่านเป็นคนที่มีอารมณ์ค่อนข้างจะเย็น และเป็นคนที่มองโลกในทางบวกเสมอ 


เป็นที่รู้กันของหลานๆ และคนใกล้ชิดว่า ถ้าใครถูกคุณป้าดุก็แสดงว่าแย่มากๆ ท่านจะเป็นคนที่เข้าวัดเข้าวาตลอด น้องๆ ถ้าเดินทางไปที่ไหนกลับมา จะมีของฝากจากที่นั่นมาฝากพี่สาวเสมอ ท่านก็จะเลือกเอาไปทำบุญทำทานเสมอ จนน้องต้องบอกว่า ขอให้ทานหรือใช้เองก่อน แล้วค่อยเอาส่วนเกินไปทำทานต่อเสมอครับ ดังนั้นเวลาที่ท่านจะจากไป ท่านใช้เวลาในวาระสุดท้ายเพียงไม่กี่วัน แล้วจึงจากไปอย่างสงบ ไม่เจ็บไม่ปวดให้ทรมานเลยครับ นี่เป็นเพราะอานิสงส์จากบุญจริงๆ ครับ
        

อีกคนหนึ่งที่ผมอยากจะยกตัวอย่างคือ เพื่อนสนิทผมที่ติดตามผมมานานมาก เราไปอยู่ด้วยกันที่กรุงย่างกุ้ง ทุกเช้าเพื่อนจะออกไปวิ่งออกกำลังกายตอนตีสี่เสมอ พอวิ่งเสร็จกลับมาจะต้องซื้อหาอาหารมาทำกินกันที่บ้านสองคนเรา สภาพร่างกายแม้จะมีโรคภัยอยู่บ้าง แต่โรคที่มาคร่าชีวิตกลับเป็นโรคมะเร็งครับ มีอยู่วันหนึ่ง แม่บ้านประจำที่บ้านผมที่กรุงย่างกุ้งมาฟ้องผม เมื่อตอนผมเดินทางไปถึงที่นั่นว่า “เห็นผ้าอ้อมผู้ใหญ่ในถังขยะ สงสัยว่าจะเป็นของเหล่าซือ” ผมจึงเรียกเพื่อนมาถาม 


ช่วงแรกเขาก็ปากแข็งว่าไม่เป็นอะไร แต่ต่อมาพอซักถามเข้มข้นขึ้น จึงบอกว่าเขาอั้นฉี่ไม่อยู่ จึงต้องใส่กางเกงผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ผมจึงบอกให้เดินทางกลับไทย เพื่อตรวจร่างกายได้แล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมเดินทางกลับทันที ผมต้องบังคับอยู่เกือบสามเดือน จึงยอมเดินทางกลับ พอกลับมาถึงกรุงเทพฯ ผมก็รีบพาไปโรงพยาบาล ซึ่งแพทย์ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งในท่อทางเดินปัสสาวะในขั้นสุดท้ายเสียแล้ว ทำให้ต้องจากไปหลังจากที่พบมะเร็ง เพียงแค่สาม-สี่เดือนเท่านั้นครับ น่าเสียดายที่ดื้อไม่ยอมพบแพทย์ตั้งแต่ต้นครับ
        


ที่ผมยกตัวอย่างมาทั้งหมด เพื่อจะบอกเพื่อนๆ คนชราและพี่ๆ น้องๆ แฟนคลับว่า เราต้องไม่ประมาทกับโรคภัยไข้เจ็บนะครับ ต้องหมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำ อย่างน้อยที่สุดปีละครั้ง สำหรับการตรวจร่างกายชุดใหญ่ และจะต้องหมั่นดูแลสุขภาพตนเองเสมอ หากมีเหตุบ่งชี้ว่าจะไม่ใช่แล้วนะ ให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน อย่าอายหรือผัดวันประกันพรุ่งนะครับ 


และเมื่อรู้ว่าเป็นแล้ว “ใจ” ต้องมาก่อนและต้องสู้เสมอ ต้องทำตัวให้อยู่กับมันให้ได้ จากนั้นต้องทำตามแพทย์สั่งเสมอ ส่วนที่สำคัญที่สุดคือ “อารมณ์และจิตใจ” ต้องอย่าได้ใจเสียหรืออารมณ์ขุ่นหมอง ทำใจให้สบาย แน่นอนว่ายากมากๆ แต่ขอให้มองทุกอย่างว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติจัดสรร ให้นึกถึงทฤษฎีของโมริตะ ที่ผมเคยเขียนไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา ลองไปอ่านย้อนหลังทบทวนดูนะครับ แล้วท่านจะทำใจได้ตลอดเวลาเสมอครับ