Commonsense is not Common ฉากที่ 9

16 ก.ย. 2565 | 23:10 น.

Commonsense is not Common ฉากที่ 9 : คอลัมน์เปิดมุกปลุกหมอง โดย...ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3819

ผมเคยปรารภกับ เจ้าอาวาสวัดปัญญานันทาราม ว่า “ถ้าผมมาบวชที่วัดนี้ ท่านจะให้พักอยู่ห้องไหนก็ได้ ผมขอท่านว่า ถ้าเอาทีวีส่วนตัวมาเปิดดูเพื่อติดตามทางโลก จะได้ไหมขอรับ”

 

เจ้าอาวาสท่านยิ้มแล้วตอบว่า “ได้สิ จะเอามากี่เครื่องก็ได้ มันมีปัญหาอยู่นิดเดียวคือ ในแต่ละห้องพัก มันไม่มีปลั๊กให้เสียบ” (ฮา)

Sense คือ ความรู้สึก ได้มาตรฐานในระดับ Common คือ สามัญ การบำบัดโรคร้ายแรงที่อะไรก็เอาไม่อยู่ ผู้ป่วยมักจะหายเพราะหวนกลับมากินยาสมุนไพร แม้แต่ แมว หมา กา ไก่ หายเองได้เพราะกินยาที่หาได้ในแดงดง เฉกเช่นโควิดร่อนลงเราก็เอา หัวหอม ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ขมิ้น กระชาย มะนาว เอามาทำเป็นต้มยำน้ำใส ภูมิคุ้มกันแบบบ้านๆ สุดจะโบราณแต่มหาศาลสรรพคุณ สามีที่วางมาดไอ้เสือทำตัวน่าเบื่อคล้ายเชื้อโรครับประกันได้ว่า อาการจะสงบเมื่อเจอหน้าภรรยาซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้าน (ฮา)

 

ไอ้ที่เขาพูดกันเล่นๆ ว่า ใครที่หาทางออกไม่เจอก็ออกที่ทางเข้า บอกได้เลยว่าความคิดนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ จะเห็นได้ว่า บรรดาโจรที่โดนเจ้าของบ้านตอบโต้ก็เผ่นแน่บออกทางเดิมที่ตัวเองแอบมางัดเปิดอ้าเอาไว้นั่นแหละ 

“สูงสุดคืนสู่สามัญ” จึงเป็นข้อสรุปที่ควรจำเอาไว้ใช้แก้ลำตัวเราเองได้ว่า วันไหนที่เผลอทำอะไรโอเว่อร์เลยเส้น เพราะลืมคำเตือนว่า “อย่าเยอะ” จงรีบหวนกลับเข้าสู่กมลสันดาปในระดับปกติให้ไว เราเห็นๆ กันอยู่บ่อยครั้งว่า คนที่ไม่ปรับพฤติกรรมทำตัวเป็นคนสามัญมักจะได้รับเมนูวิสามัญเป็นของแถม (ฮา)

 

ถ้าคุณลักษณะสามัญ ไม่ดีจริง พระพุทธเจ้า ก็จะไม่ทรงชี้แนะให้ทำตัวเป็นปกติ ใครที่ทำตัวเป็นปกติในยามคับขันถือว่าคนนั้นมี Common Sense แม้แต่ ไอน์สไตน์ ที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเยอะจัง ท่านยังบอกเลยว่า “ผู้ชายที่สามารถขับรถอย่างระมัดระวังในขณะที่จูบผู้หญิงไปพร้อมกันนั้นถือว่าเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับการจูบอย่างที่มันควรจะเป็น” (ฮา) เนื่องจากคนปกติทั่วไปที่สำนึกได้ เขาจะไม่ทำกันอย่างนั้น เท่าที่รู้ผู้ที่ทำเช่นนั้นมักจะกลายเป็นคนไม่ปกติ เพราะมัวจูบสาวรถเกิดอารมณ์ทางเพศวิ่งเข้าไปจูบสิบล้อ (ฮา)

 

การทำนายอนาคตที่ดีที่สุด คือ การที่เราสร้างมันขึ้นมาเอง

 

สำนวนนี้ผมจำไม่ได้ว่าใครพูด แต่ผมเอาไปพูดบ่อยเพราะเป็นสำนวนดีๆ ที่ผมจำได้ (ฮา)
 

ผมติดตามเพจชื่อดัง “ลงทุนแมน” ท่านผู้นี้มีไอเดียเด็ด แต่ละเกร็ดมีค่าควรเมือง ท่านจะชวนผู้ฟังให้ขบคิดกันเอง เรื่องที่เล่าแค่เอามาบอกให้รู้ อย่างเช่น อนาคตในอีก 20 ปี ข้างหน้า สรุปความโดยย่อว่าไว้ดังนี้
 

20 ปีข้างหน้า    เราจะตกแต่ง Gene ของลูกได้

 

20 ปีข้างหน้า    พ่อแม่เราจะกลับมาเดินได้เช่นเดิม

 

20 ปีข้างหน้า    เราจะติดต่อโดยไม่พิมพ์ไม่ต้องพูด    

 

20 ปีข้างหน้า    เราจะมีชีวิตได้แบบ วั่นซุย! วั่นซุย!

 

20 ปีข้างหน้า    AI จะฉลาดลึกล้ำเกินกว่ามนุษย์

 

จะอย่างไรก็ตาม วงการวิทยาศาสตร์การแพทย์ เขาก็มีมีกฎควบคุมเรื่องตัดต่อยีน อนุญาตให้ทำการตัดต่อยีนเฉพาะการรักษาโรคเท่านั้น สำหรับการตัดต่อยีนเพื่อพัฒนามนุษย์ ถือว่ากระทำผิดทำนองคลองธรรม 

                               Commonsense is not Common ฉากที่ 9

ทำไมถึงออกมาเบรคล็อคสเปคกันขนาดนั้น Guru ท่านก็มีคำตอบว่า ฉลาดกว่าผู้อื่นแต่วีค สตรองกว่าแต่อายุสั้น บอดี้ต่างจากคนทั่วไป เกิดมนุษย์กลายพันธุ์ สร้างคนบุคลิกซ้ำกัน จะก่อการให้สังคมไม่ปกติ

 

ผมไม่ขัดคอปรากฏการณ์ไฮบริดจิตไฮเทค ขอแค่กระซิบบอกคนที่ช่างคิดประดิษฐ์ชะตากรรมตัวเองได้ว่า อย่าเพลิน คนที่เพลินก็จะแพลงง่าย วางสเปคให้มัน พอดี๊! พอดี! ไม่งั้นสังคมจะร่ำร้องว่า พอที! พอกันที! ประเด็นนี้ ท่าน จังจ๊าค รุสโซ่ ท่านเคยปรารภล่วงหน้าเอาไว้ดีจริงว่า “เมื่อใดที่เทคโนโลยี่เริ่มก้าวหน้า เมื่อนั้น คนเราก็จะเริ่มอ่อนแอ”  

 

ผมเกิดวันศุกร์ เรื่องทำนองนี้ทำได้อย่างมากก็แค่รำพึง (ฮา) จึงกระซิบสักตี๊ดหนึ่งว่าเอาแต่เรียนรู้ แต่ไม่ลงมือทำ จะไม่มีวันประสบผลสำเร็จ เอาแต่ลงมือทำ แต่ไม่เรียนรู้ คงไม่มีวันที่จะก้าวหน้า สิ่งเหล่าที่เราจะต้องรู้โดยไม่ต้องอ้างว่า เรื่องนี้โรงเรียนไม่ได้เอามาให้เราเรียน ใครเติบโตขึ้นในวันหน้า อย่าลืมนะว่า “ผู้นำต้องทำในสิ่งที่ถูก ผู้จัดการต้องคิดถูกในสิ่งที่ทำ”

 

อี เอ็ม ฟอร์สเตอร์ นักเขียนรุ่นใหญ่แห่งวงวรรณกรรมอังกฤษ ให้ความเห็นที่ผมเห็นว่า ท่านนี้ควรจะได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ แต่อย่าเอาทองคำมาทำลูกโลกใหญ่เท่ากับโลกนะพ่อคุณ ประเดี๋ยวจิตผมมันจะไม่ปกติ (ฮา) ท่านตอกเสาเข็มสามัญสำนึกลงไปในใจผู้นำโลกว่า

 

“ฉันมั่นใจว่า หากแม่ของชาติต่างๆ สามารถพบกันได้ มันก็จะไม่มีสงครามอีก!”