รู้จัก “ไซยาไนด์” สารเคมีที่มีพิษร้ายแรง พร้อมวิธีปฐมพยาบาล

06 ธ.ค. 2568 | 05:25 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ธ.ค. 2568 | 05:27 น.

รู้จัก “ไซยาไนด์” สารเคมีที่มีพิษร้ายแรง พร้อมวิธีปฐมพยาบาล : Tricks for Life

ไซยาไนด์” เป็นสารเคมีที่มีพิษร้ายแรง สามารถออกฤทธิ์ส่งผลให้ผู้ที่ได้รับเสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่นาทีขึ้นอยู่กับปริมาณและความเข้มข้นของสารที่ร่างกายได้รับเข้าไป สาเหตุหลักมาจาก สารพิษชนิดนี้จะไปทำปฏิกิริยายับยั้งเซลล์ในร่างกายไม่ให้สามารถใช้ออกซิเจนได้ ส่งผลให้เซลล์ไม่สามารถผลิตสาร ATP ที่ให้พลังงานได้เพียงพอและเสียชีวิตในที่สุด

ทำความรู้จัก “ไซยาไนด์” (Cyanide)

เพราะเมื่อ “ไซยาไนด์” เข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสโดนผิวหนัง การสูดดมเข้าสู่ทางเดินหายใจ และการรับประทานเข้าสู่กระเพาะอาหาร ความผิดปกติทางร่างกายที่เกิดขึ้นจากการได้รับสารพิษไซยาไนด์นั้นจึงมีหลากหลาย เช่น ระคายเคืองผิวหนัง ผื่นแดง บวมน้ำ รู้สึกมึนงง เวียนศีรษะ ความดันโลหิตสูงหรือต่ำผิดปกติ ลมชัก หมดสติ อาเจียน ไตล้มเหลว หัวใจเต้นผิดจังหวะ และ หัวใจหยุดเต้น

“ไซยาไนด์” พบได้ใกล้ตัว

หลายคนอาจคิดว่า “ไซยาไนด์” เป็นเรื่องไกลตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไซยาไนด์วนเวียนอยู่ในชีวิตประจำวันโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นในเมล็ดแอปเปิ้ล แอปริคอต พีช ลูกแพร และถั่วอัลมอนด์รสขม ไซยาไนด์ยังสามารถพบได้ในหัวและใบของมันสำปะหลังและหน่อไม้

ดังนั้นจึงไม่ควรรับประทานเมล็ดของผลไม้ประเภทนี้ รวมถึงมันสำปะหลังหรือหน่อไม้ดิบโดยเด็ดขาด และควรที่จะกำจัดไซยาไนด์ด้วยวิธีการง่าย ๆ อย่างการต้มและการปรุงสุก นอกจากนี้ ไซยาไนด์ยังเป็นสารที่สามารถพบได้ในบุหรี่ งานวิจัยพบว่าโดยเฉลี่ยแล้วระดับของไซยาไนด์ในเลือดของผู้ที่สูบบุหรี่นั้นมีค่าสูงกว่าคนไม่สูบถึง 2.5 เท่า

อาการของผู้ที่ได้รับ “ไซยาไนด์”

ผู้ที่ได้รับ “ไซยาไนด์” ขึ้นอยู่กับบริเวณที่สัมผัสกับสารพิษ และความปริมาณของสารพิษที่ได้รับ ซึ่งจะเกิดอาการต่างๆ ดังนี้

  • ระคายผิวหนัง
  • ผื่นแดง
  • บวมน้ำ
  • มึนงง
  • คลื่นไส้
  • กระวนกระวาย
  • การรับรสผิดปกติ
  • เวียนศีรษะ
  • ความดันโลหิตสูง
  • ความดันโลหิตต่ำ
  • ลมชัก
  • หมดสติ
  • อาเจียน
  • ไตล้มเหลว
  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • หัวใจหยุดเต้น

รู้จัก “ไซยาไนด์” สารเคมีที่มีพิษร้ายแรง พร้อมวิธีปฐมพยาบาล

อย่างไรก็ดี อาการของผู้ได้รับ “ไซยาไนด์” ในปริมาณน้อยอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ได้สารพิษจะมีอาการปวดหัว การรับรสผิดปกติ อาเจียน เจ็บหน้าอก ปวดท้อง และกระวนกระวาย การสูญเสียการมองเห็นโดยเฉพาะในผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ การสะสมของสารไซยาไนด์จากการรับประทานพืชบางชนิดในปริมาณที่มากเกินไป เช่น มันสำปะหลัง ทำให้มีอาการชา สูญเสียการทรงตัว สูญเสียการได้ยิน ประสาทตาฝ่อ ซึ่งสามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการรับประทานวิตามิน B12

วิธีการป้องกันพิษ “ไซยาไนด์”

  • หลีกเลี่ยงการรับประทานเมล็ดของผลไม้ เช่น เมล็ดแอปเปิ้ล แอปริคอต พีช ลูกแพร และถั่วอัลมอนด์รสขม
  • หากรับประทานมันสำปะหลัง หรือหน่อไม้ ควรปรุงให้สุกทุกครั้งก่อนรับประทาน
  • ในกรณีเกิดเพลิงไหม้ ให้ก้มต่ำ ใช้ผ้าปิดจมูก และคลานเพื่อหลีกเลี่ยงการสูดดมควันไฟที่มีส่วนผสมของสารพิษไซยาไนด์

วิธีการปฐมพยาบาลผู้ได้รับไซยาไนด์

ผู้สัมผัสกับไซยาไนด์ทางผิวหนัง

  • หากสัมผัสไซยาไนด์กับผิวหนัง ให้รีบล้างผิวบริเวณที่สัมผัสกับไซยาไนด์ด้วยสบู่และน้ำทันที โดยให้น้ำไหลผ่านผิวหนัง อย่างน้อย 15 นาที ทั้งนี้ผู้ที่ทำการช่วยเหลือควรป้องกันตนเองโดยการสวมชุดและหน้ากากป้องกัน และรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
  • หากไซยาไนด์หกรดลงบนเสื้อผ้า ให้รีบถอดเสื้อผ้าออกโดยเร็ว หรือใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าส่วนนั้นออกเพื่อป้องกันไม่ให้สารพิษสัมผัสกับผิวหนังโดยตรง

ผู้สัมผัสไซยาไนด์ทางดวงตา

  • เมื่อไซยาไนด์สัมผัสกับดวงตา ให้ล้างตาด้วยการเปิดน้ำให้ไหลผ่านดวงตาอย่างน้อย 15-20 นาที และห้ามขยี้ตาโดยเด็ดขาด หากใส่คอนแทคเลนส์ ให้ใช้มือสะอาดถอดคอนแทคเลนส์ออกก่อนล้างดวงตา และรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที
  • ผู้ได้รับไซยาไนด์ผ่านการสูดดม หรือผ่านการรับประทานอาหาร
  • โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เพื่อขอความช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด
  • ให้รีบย้ายร่างของผู้ป่วยมาในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก เช่น ภายนอกอาคาร หรือใกล้กับหน้าต่าง
  • ห้ามให้น้ำหรืออาหารแก่ผู้ป่วยโดยเด็ดขาด
  • หากผู้ป่วยหมดสติหรือไม่หายใจ ให้ทำ CPR หรือการนวดหัวใจกู้ชีพโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ ผู้กู้ชีพไม่ควรทำการผายปอด หรือเป่าปากโดยเด็ดขาดเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับไซยาไนด์
  • ระหว่างรอการช่วยเหลือทางการแพทย์ ให้ทำการกู้ชีพอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งรวบรวมข้อมูล และอาการของผู้ป่วยให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์

เนื่องจาก “ไซยาไนด์” เป็นสารเคมีที่มีพิษรุนแรง เป็นอันตรายถึงชีวิต ทำให้ร่างกายไม่สามารถใช้ออกซิเจนได้ โอกาสในการสัมผัสกับไซยาไนด์นั้นมีอยู่หลายช่องทาง เนื่องจากสารพิษชนิดนี้ปะปนอยู่ในอาหาร ในขั้นตอนการผลิตของใช้ในชีวิตประจำวัน และในควันไฟเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ ดังนั้น การรู้วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างถูกต้อง และการนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด สามารถเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตได้

 

ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลเมดพาร์ค