GULF ใหญ่มาก...ก็เจ็บมาก!

18 พ.ค. 2566 | 21:30 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ GULF ใหญ่มาก...ก็เจ็บมาก! โดย...เจ๊เมาธ์

*** ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง ทำให้หุ้นหลายกลุ่มได้รับผลกระทบที่แตกต่างกันออกไป ชัดเจนที่สุด คือ หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ารายใหญ่ ซึ่งประกอบไปด้วย GULF BGRIM และ GPSC เนื่องจากนโยบายเรื่องของการลดราคาค่าไฟฟ้าทันที เป็นสิ่งที่พรรคการเมืองหลายพรรคนำมาใช้เป็นจุดขายในการหาเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของพรรคก้าวไกล ซึ่งได้จำนวน ส.ส.เข้าสภามาก จนมีโอกาสที่จะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลมาก มีนโยบายเรื่องการลดค่าไฟฟ้า และมุ่งเน้นที่จะลดการผูกขาดของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ และดูเหมือนว่าโฟกัสนี้จะมุ่งไปที่ GULF มากกว่าหุ้นตัวอื่นอีกด้วย 

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นมากในในช่วงเดือน มีนา-เมษา ที่ผ่านมา จนทำให้มีการขุดคุ้ยข้อมูลการประมูล ธุรกิจผลิตไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (independent power producer: IPP) รอบสุดท้ายที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2555 โดยในจำนวนผู้ยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้า 9 ราย จาก 5 กลุ่มบริษัท ผลปรากฏว่า GULF เป็นผู้ชนะการประมูลทั้งหมด ได้กำลังการผลิตไป 5,000 เมกะวัตต์ เพียงบริษัทเดียวก่อนที่จะจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2565 ที่ผ่านมา 

อีกเรื่อง ก็อาจมีสาเหตุมาจากการที่ GULF เดินเกมขยายอาณาจักรทางธุรกิจที่ครอบคลุมแทบทุกสาย ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจสื่อสารผ่านทาง INTUCH ADVANC และ THCOM, ธุรกิจ Data Center ด้วยการจับมือกับ Singtel AIS, ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งจับมือกับ Binance, ธุรกิจทางด่วนผ่านโครงการติดตั้งและบริหารระบบเก็บเงิน (O&M) มอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช และบางใหญ่-กาญจนบุรี ระยะเวลา 30 ปี โดยมีบริษัทร่วมค้า BGSR ซึ่งประกอบด้วย บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) และ บมจ.ราชกรุ๊ป (RATCH) เป็นผู้ชนะการประมูล รวมไปถึงธุรกิจท่าเรือในโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ผ่านทางการจับมือกับ บจ.พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล (บริษัทลูกของ PTT) และ บจ.ไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง

สิ่งที่เจ๊เมาธ์ว่ามาทั้งหมด ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นของ GULF ปรับตัวลงทันทีหลังได้รู้ผลการเลือกตั้งนั่นเอง

*** ส่วนทาง EA NEX และ BYD น่าจะเป็นกลุ่มหุ้นได้อานิสงส์จากการเลือกตั้งครั้งนี้ เนื่องจาก พรรคก้าวไกล มีนโยบายผลักดันรถเมล์ไฟฟ้าทั่วประเทศ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะระบบ Eco System ซึ่งเกี่ยวข้องกับรถเมล์ไฟฟ้าของ EA NEX และ BYD มีความพร้อมมากที่สุด โดยที่ทั้ง EA และ NEX ร่วมกันเป็นเจ้าของโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน Amita Technology (Thailand) โรงงานผลิตแบตเตอร์รี่เพื่อยานยนต์ไฟฟ้า โดยที่ทาง EA เป็นผู้ผลิตรถบัสไฟฟ้า และให้บริการสถานีประจุไฟฟ้า 

ส่วนทาง NEX ทำหน้าที่เป็นผู้จำหน่ายและซ่อมบำรุงรถบัสไฟฟ้า ขณะที่ BYD เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท ไทยสมายล์บัส (TSB) ซึ่งได้รับใบอนุญาตวิ่งรถโดยสารในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากกว่า 71 เส้นทาง พร้อมทั้งทำหน้าที่เป็นลูกค้าที่รับซื้อรถเมล์ไฟฟ้าของ EA เพื่อนำมาใช้เดินรถในทุกเส้นทางที่เป็นเจ้าของสัมปทาน 

นั่นจึงทำให้ระบบ Eco System ซึ่งทาง EA NEX และ BYD ร่วมกันสร้างขึ้นมานี้ จึงอาจจะช่วยตอบสนองนโยบายของ พรรคก้าวไกล ในเรื่องรถเมล์ไฟฟ้าทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง งานนี้ใครจะบอกว่าฟลุ๊คก็คงจะไม่แปลก แต่ถ้าบอกว่า ฟลุ๊ค เพราะเตรียมตัวไว้พร้อมมาก...น่าจะตรงจุดมากกว่าเจ้าค่ะ

*** STARK ยังไม่สามารถส่งงบการเงินงวดปี 65 ทำให้ถูกแขวนเครื่องหมาย SP ห้ามซื้อขายหุ้นมานานกว่า 3 เดือน ล่าสุดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ขึ้นเครื่องหมาย C หลักทรัพย์ของ STARK โดยกำหนดวันขึ้นเครื่องหมายในวันที่ 19 พ.ค. ทั้งนี้เหตุผลก็มาจากการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งให้บริษัทจัดให้มีการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ (special audit) เกี่ยวกับการขาย ลูกหนี้ รายการบัญชีอื่นที่เกี่ยวข้อง และการรับโอนเงินของกลุ่มบริษัท ทำให้จะต้องซื้อขายหลักทรัพย์ของ STARK ด้วยบัญชี Cash Balance โดยลูกค้าต้องวางเงินสดไว้ล่วงหน้าเต็มจำนวนก่อนซื้อหลักทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ขึ้นเครื่องหมายเป็นต้นไป

หากไม่คิดมากก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะถือว่า STARK ยังมีความคืบหน้าว่า ยังอยู่ในสายตาของผู้กำกับดูแล ซึ่งถ้าหากสามารถส่งงบการเงินจนได้โอกาสกลับมาซื้อขายในอนาคตได้ อย่างน้อยก็ยังมีเครื่องหมาย C เอาไว้ดูต่างหน้าว่ามียังมีคนสนใจ ไม่ใช่ว่าแค่ส่งงบได้แล้วทุกอย่างก็จบเหมือนกับที่ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น...เรื่องมันก็เท่านั้นเองค่ะ

*** หลังจากที่ TRUE ร่วมกิจการกับ DTAC ราคาหุ้นก็มีแต่ทรงกับทรุด และยิ่งเห็นราคาหุ้นที่ทำจุดต่ำสุดใหม่ตลอด ก็ทำให้นักลงทุนที่ติดดอยในหุ้นตัวนี้ ไม่รู้ว่าจะออกของโดยที่ไม่ขาดทุนได้อย่างไร สาเหตุแรกก็คงจะเป็นเรื่องเดิมที่เจ๊เมาธ์เคยเล่าไปแล้วว่า นักลงทุนที่ขายจะมาจากฝั่งของผู้ถือหุ้น DTAC ดั้งเดิม เพราะมองไม่เห็นฝั่งว่า เมื่อรวมกันแล้วบริษัทใหม่นี้จะยังให้ผลตอบแทนในส่วนของปันผลได้เหมือนตอนที่เป็น DTAC 

และยิ่งเมื่อได้เห็นผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1/66 ซึ่งขาดทุนไปถึง 492 ล้านบาท รวมไปถึงการคาดการณ์ของโบรเกอร์บางสำนักที่บอกว่าปี 66 ทั้งปี TRUE อาจจะขาดทุนรวมถึง 4.6 พันล้านบาท ก็ยิ่งทำให้นักลงทุนกลัวหุ้นตัวนี้ ขณะที่ฝั่งผู้ถือหุ้นเดิมของ TURE ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นฝ่ายซื้อแต่เมื่อซื้อไปแล้วทำให้ติดหุ้นก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นฝั่งที่ช่วยขายด้วยเช่นกัน 

อย่างไรก็ตาม ของแบบนี้เมื่อลงได้ ก็อาจจะขึ้นได้เป็นธรรมดา ดังนั้น ถ้าราคาหุ้นของ TRUE ยังคงร่วงลงต่อไปอีก ก็น่าจะเป็นโอกาสที่จะได้หุ้นดีราคาถูกก็เป็นได้ อย่างหนึ่งก็คือ TRUE ยังคงเป็นบริษัทที่ดำเนินกิจการประมาณว่า ถึงแม้จะยังขาดทุนแต่ก็ถือว่ายังพอมีโอกาสในทางธุรกิจ ส่วนอย่างที่สองก็คือ การซื้อหุ้น TRUE ในราคาประมาณนี้ไม่ต่างจากการซื้อหุ้น TRUE ตัวเดิมแต่ได้แถม DTAC เข้ามาอยู่ในพอร์ตหุ้นด้วยแบบฟรีๆ แค่คิดแบบนี้ได้ก็สบายใจแล้วเจ้าค่ะ
 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,889 วันที่ 21 - 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2566