BAM JMT CHAYO ถึงเวลาต้องบริหารตัวเอง

12 ต.ค. 2565 | 00:35 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ 

  *** ดูเหมือนหุ้นในกลุ่มธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) อย่าง BAM JMT CHAYO เป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากในภาวะเศรษฐกิจถดถอยเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะมีของดี แต่การมีมากจนเกินไปจะทำให้เกิดปัญหา

 

  *** อย่างแรกคือ การมีสินค้ารอการระบายเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นปัญหาที่บริษัทเหล่านี้ต้องแบกรับสินทรัพย์ที่ไม่เกิดรายได้ รวมไปถึงภาระดอกเบี้ยที่จะต้องจ่าย ซึ่งจะเพิ่มมากขึ้นตามทิศทางของดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น จนอาจทำให้บริษัทบริหารสินทรัพย์เหล่านี้ เปลี่ยนสภาพจากบริษัทบริหารหนี้เสีย กลายเป็นบริษัทที่ก่อหนี้เสียซะเอง เรื่องที่สองเป็นเรื่องของจำนวนของคู่แข่ง ทั้งที่มาจากสถาบันการเงินลงมาเล่นเอง รวมถึงผู้ประกอบการรายอื่น ที่พยายามเข้ามาขอส่วนแบ่งจนทำให้มีต้นทุนที่สูงขึ้น

  *** สำหรับเจ๊เมาธ์แล้วปัญหาที่หนักที่สุด คือ เรื่องราคาหุ้นที่ถูกดันราคาขึ้นไปสูงกว่าความเป็นจริง เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อขาดปัจจัยที่ดีพอ ในที่สุดราคาหุ้นที่ถูกดันขึ้นไปสูง ก็จะกลับเข้ามาสู่ฐานของความเป็นจริง เมื่อรู้แล้วก็ไม่ต้องตกใจเกินไปนะคะ...ไม่แน่ว่าราคาหุ้นที่ว่าต่ำแล้วอาจจะลงต่ำกว่านี้ได้ เอาไว้ตกใจตอนนั้นก็ยังไม่สายค่ะ

 

  *** กลุ่ม “กิตติอิสรานนท์” ซึ่งนำโดย “ประเดช กิตติอิสรานนท์” เข้าไปถือหุ้นใน NUSA ในสัดส่วนที่มากกว่าครึ่ง เพื่อให้สามารถควบคุมทิศทางของธุรกิจได้ทั้งหมด เป็นเรื่องของการแก้ไขข้อผิดพลาดที่จากเดิมเคยเกิดขึ้นทั้งกับ DEMCO และ SUPER ซึ่งเคยเข้าไปรวมธุรกิจ ทั้งในการเป็นผู้บริหาร และการเป็นผู้ถือหุ้น เพียงแต่การเป็นผู้ถือหุ้นเพียงบางส่วน ทำให้ไม่มีสิทธิ์ในการกำหนดทิศทางของบริษัทโอกาสที่ควรจะได้รับ...เป็นเหตุให้ท้ายที่สุด ประเดช ต้องหันหลังให้กับบ้านเก่าทั้งสองหลัง ซึ่งการทุ่มทุนทั้งหมดลงไปที่ NUSA ในรอบนี้เป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดของเสี่ยประเดช

 

  *** อย่างหนึ่งคือ การตัดสินใจขายทิ้งธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งเป็นธุรกิจเดิมของ NUSA ออกไปมากกว่า 80% อย่างที่สองคือ การดึงเอาหุ้นของ WEH (Wind Energy Holding) ที่ เสี่ยประเดช สามารถหามาได้ทั้งหมดยัดเข้าไปอยู่ใน NUSA เพื่อปั้นให้บริษัทพัฒนาอสังหาฯ รายนี้ เปลี่ยนสภาพไปเป็นบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าเต็มรูปแบบ หรือจะมองอีกอย่างก็คือ การเปลี่ยนให้ NUSA เป็น WEH ให้ได้นั่นเอง เสี่ยประเดชบอกว่าอีกไม่เกิด 2 ปีก็รู้เรื่อง และถ้าถึงวันนั้นแล้ว ก็อาจจะมีคนเสียดายก็ได้ที่ไม่ได้ถือหุ้นของ NUSA เอาไว้ตั้งแต่วันนี้

  *** เจ๊เมาธ์ยังคงมั่นใจว่า PTTEP เป็นหุ้นที่พอจะไปต่อได้อีก อย่างแรกคือแนวโน้มของราคาพลังงานในตลาดโลก ยังคงมีแนวโน้มที่จะไปต่อได้อีกครั้ง หลังจากที่กลุ่มโอเปคพลัส มีมติว่าจะลดการผลิตน้ำมันดิบลงไปอีกถึงสองล้านบาเรลต่อวัน ขณะที่สงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ยังไม่เห็นช่องทางในการเจรจาสันติภาพ รวมถึงยังมีแนวโน้มว่าจะรุนแรกมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ซึ่งนี่ยังไม่รวมไปถึงมุมมองของนักวิเคราะห์จากหลายสำนักที่มองตรงกันว่า กำไรในช่วงครึ่งปีหลังของ PTTEP จะแข็งแกร่งมาก รวมถึงอาจจะดีต่อเนื่องไปจนถึงกลางปีหน้าโน้นเลยทีเดียว ดังนั้นถ้าไม่คิดอะไรมาก...นาทีนี้เจ๊เมาธ์ยังคงให้น้ำหนักกับ PTTEP มากกว่าหุ้นอื่นอีกหลายตัวเจ้าค่ะ

 

  *** ถึงนาทีนี้คงต้องยอมรับแล้วว่า โอกาสที่ JTS จะสามารถกลับขึ้นไปถึงจุดที่ราคาหุ้นเคยทำไว้สูงที่สุดที่ราคา 594 บาท เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก เพราะแม้ว่าธุรกิจปกติจะสร้างกำไรให้กับ JTS ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่การมีค่าเสื่อมของเครื่องขุดบิทคอยน์ที่เกิดขึ้นมาทุกวัน รวมไปถึงราคาเหรียญบิทคอยน์ที่ถึงนาทีนี้แล้วสำหรับบริษัทที่มีเครื่องขุดอยู่ “การไม่ขุดจะคุ้มค่ามากกว่าขุด” กลายเป็นค่าใช้จ่ายที่อยู่เฉยๆ ก็ยังต้องจ่ายทำให้เมื่อหักลบกลบหนี้แล้ว JTS ยังน่าจะเจ็บตัวได้อีกพักใหญ่ๆ

 

  *** อย่างไรก็ตาม ที่เจ๊เมาธ์ว่ามานี้ไม่ได้หมายความว่า ราคาหุ้นของ JTS จะกับไปถึงจุดสูงสุดอีกไม่ได้ เพราะถ้าหากตลาดเหรียญดิจิทัล รวมถึงบิทคอยน์สามารถกลับไปสู่ยุคเฟื่องฟู ก็มีความเป็นไปได้ที่ราคาหุ้นของ JTS จะกลับไปที่จุดสูงสุดได้อีกครั้ง ขอเพียงแค่อย่าได้ทิ้งเวลานานมากจนเครื่องขุดที่มีอยู่ตกยุค...หรือพังไปซะก่อนก็เท่านั้นเองเจ้าค่ะ